30.9.50

PHUTTHA MONTHON


PHUTTHA MONTHON

Le Bouddha et le jardin botanique sont situés à 16 kilomètres environ à l'ouest de Bangkok. Ce complexe sur plus de 5 000m² a été érigé pour commémorer l'illumination de Bouddha survenue il y a 2500 ans environ.Il est dominé par une statue en bronze de Bouddha marchant, de 18,5 mètres.C'est le plus haut Bouddha du monde.

29.9.50

สโนไวท์


สโนไวท์เป็นนิทานอมตะที่เด็กๆส่วนใหญ่ต้องรู้จักกันอยู่แล้ว ด้วยคำพูดของราชินีที่ว่า"กระจกวิเศษ จงบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพีนี้...."กระจกวิเศษก็จะตอบว่า"ก็ต้องเป็นเจ้าหญิงสโนไวท์น่ะสิ....."รวมถึงตัวการ์ตูนที่น่ารักนั่นก็คือ คนแคระทั้ง 7 ผู้ที่คอยช่วยเหลือสโนไวท์นั่นเอง

เนื้อเรื่องโดยรวมมีอยู่ว่า สโนไวท์เป็นองค์หญิงที่หน้าตางดงามมาก จนราชินีองค์ใหม่อิจฉา และสั่งให้นายพรานฆ่าเธอซะ แต่นายพรานสงสารจึงยอมปล่อยให้สโนว์ไวท์หนีไป สโนไวท์ไปเจอบ้านหลังหนึ่งและเข้าใจว่าไม่มีคนอยู่จึงอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น และเมื่อคนแคระทั้ง 7 กลับมาถึงบ้านเพราะความมีน้ำใจและความใจดีของสโนไวท์ทำให้พวกเขาให้สโนไวท์อยู่ด้วยสโนไวท์ตอบแทนคนแคระทั้ง 7 โดยการทำความสะอาดบ้านและทำอาหารให้ เมื่อราชินีรู้ว่าสโนวไวท์ยังไม่ตายเหมือนที่นายพรานบอกจากกระจกวิเศษของหล่อน จึงปลอมตัวมาฆ่าสโนไวท์หลายหนโดยปลอมเป็นหญิงชราเอาแอปเปิ้ลอาบยาพิษมาให้สโนไวท์กินขณะที่คนแคระทั้ง 7 ไม่อยู่บ้าน สโนไวท์เหมือนกับตายไปแล้วแต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือนเธอก็ยังคงงดงามเหมือนเดิมคนแคระทั้ง 7 โศกเศร้าเสียใจเป็นอันมากพวกเขานำเธอใส่ในโลงแก้วและรอคอยปาฏิหารย์ จนกระทั่งเจ้าชายองค์หนึ่งมาเห็นและหลงรักและหาทางช่วยเธอจนในที่สุดสโนไวท์ก็ฟื้นจากรอยจุมพิตของเจ้าชายและครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุข

24.9.50

8 วิธีจัดการกับอารมณ์เหนื่อยเพลีย

ในทางการแพทย์มองว่าอาการอ่อนเพลียของคนเราที่เกิดขึ้นเสมอๆนี้ ถือเป็นความผิดปกติของร่างกายที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา สาเหตุของความเหนื่อยอ่อนแบบนี้คงจะตอบได้ยากว่าเกิดจากอะไรกันแน่นเพราะแต่ละคนล้วนมีปัจจัยแวดล้อมแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วมักมีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยไม่สบาย การอดนอน ความเครียด คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย การทำงานมากเกินไป การรับประทานยาประจำตัว หรือไม่ก็อารมณ์ที่กำลังซึมเศร้าจากแรงกดดันรอบๆตัว ยิ่งอยู่ในสังคมเมืองใหญ่ที่เรามักจะใช้พลังงานกันเกินพิกัด เวลาควรนอนไม่นอน เวลาควรกินไม่กิน เพราะทำงานเกินเวลา หรือพวกที่นิยมการปาร์ตี้สังสรรค์ดึกดื่นข้ามคืนข้ามวัน พอตื่นขึ้นมาก็ลุกไม่ไหว เรียกว่าปาร์ตี้กันเกินเวลา พาให้การงานเสียก็มีอยู่ไม่น้อย พอได้สติขึ้นมาก็รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรเสียแล้ว
อาการเหนื่อยๆเพลียๆนี้อาจรักษาได้ด้วยยาบางอย่าง เช่น ยาระงับประสาท หรือยานอนหลับ กินให้คลายเครียดนอนหลับสนิท ตื่นมาจะได้มีเรี่ยวแรง แต่ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ก็อย่างที่พอรู้ๆกันอยู่ ถ้ากินติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีผลเสียต่อสุขภาพประสาทแน่ๆ ทางที่ดีคือการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตเสียใหม่น่าจะให้ผลที่ดีในระยะยาวกับตัวคุณมากกว่า ลองพิจารณา 8 วิธีที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ แล้วนำไปปฏิบัติตามดู คุณอาจจะหยุดความอ่อนเพลียละเหี่ยใจกลับมาเป็นคนใหม่ได้ในเวลาไม่ช้าครับ
1.ไปตรวจสุขภาพ ลองนึกๆดูว่าที่คุณรู้สึกเหนื่อยๆนั้น เป็นเพราะเกิดจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า ปวดเมื่อยเนื้อตัว งงๆลอยๆ จำอะไรไม่ค่อยได้หรือซึมเศร้า บางทีอาจมาจากโรคที่ทำให้ร่างกายผิดปกติ หรือบางครั้งยาที่เรากินเข้าไปก็มีผลทำให้ร่างกายเราอ่อนเพลียได้ เช่นยาที่มีผลต่อระดันฮอร์โมนในร่างกาย ยาแก้แพ้ หรือยารักษาอาการติดเชื้อบางประเภท ยารักษาโรคเรื้อรังบางอย่าง ยาระงับประสาทบางตัว อาจทำให้คนกินรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งคุณควรของคำปรึกษาเพิ่มเติมจากคุณหมอในเรื่องนี้ดูว่ามีวิธีไหนหลีกเลี่ยงได้บ้าง
2.ให้ความสำคัญกับการหลับเพิ่มขึ้น ในวันหนึ่งๆคุณควรนอนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หากคุณนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอเป็นประจำ ลองนึกดูว่าอะไรเป็นอุปสรรคต่อการนอนของคุณบ้าง เช่น ชอบเปิดไฟนอน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือก่อนนอนเป็นนิสัย การทำแบบนี้มักจะเป็นการรบกวนการนอนของคุณโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรยกกิจกรรมเหล่านี้ไปทำที่อื่น แล้วก่อนนอนควรทำอะไรที่จิตใจคุณสงบนิ่ง สบาย เช่น อาบน้ำให้สะอาด หรือทำสมาธิสวดมนต์ ไหว้พระ เป็นต้น แล้วเมื่อถึงเวลานอนให้ตรงเข้าไปในห้องนอนเพื่อเข้านอนเพียงอย่างเดียว อ้อ...ควรงดการดื่มกาแฟ หรือการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน
3.กินอาหารเพียงพอต่อธรรมชาติที่ร่างกายต้องการ นอกจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันในปริมาณที่สมดุลแล้ว ยังจำเป็นต้องกินอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่เพียงพอด้วย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมีกำลังวังชา ไม่กินมากไปจนทำให้ร่างกายอ้วนจนเดินไม่ไหว หรือกินน้อยไปจนกลายเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย เลือกกินให้พอดีๆ ทั้งข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ ก็จะช่วยให้คุณไม่ต้องไปเสียเงินค่าอาหารเสริมต่างๆทำให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
4.ดื่มน้ำเปล่ามากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้วขึ้นไป เราพอจะรู้อยู่ว่าการดื่มน้ำเปล่ามากๆ จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดี ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น แต่คุณอาจจะยังไม่ทราบว่าการดื่มน้ำก็ให้พลังงานกับร่างกายได้ด้วยเหมือนกัน เพราะเวลาที่ร่างกายไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ โดยธรรมชาติจะปรับตัวทำงานให้หนักขึ้น เพื่อจะได้น้ำมาในกระบวนการเผาผลาญอาหารให้กลายเป็นพลังงาน คล้ายๆกับรถที่ขาดน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้เวลาที่คุณต้องออกแรงหรือใช้ความคิดมากๆ จนรู้สึกหมดเรี่ยวแรง การได้ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำผักคั้นสดๆ สัก 1-2 แก้วจะช่วยให้คุณรู้สึกแช่มชื่นอย่างเห็นผล เพราะน้ำตาลธรรมชาติและวิตามินซีในน้ำผัก/ผลไม้ จะเข้าไปทดแทนส่วนที่ถูกใช้ไปได้เป็นอย่างดี และหากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนจะดีกว่า
5.กินอาหารแต่ละมื้อให้อิ่มพอดี หรือแบ่งอาหารออกเป็นแต่ละมื้อย่อยๆปริมาณน้อยแต่เพิ่มจำนวนมื้อ คุณลองสังเกตดูเวลาเรากินอาหารเข้าไปเยอะๆจนอิ่มแปล้นั้น มักจะตามด้วยอาการง่วงเหงาเงื่องหงอยในอีกนาทีต่อมาเสมอครับ นั่นเพราะร่างกายใช้พลังงานไปกับการย่อยอาหารจนหมด ดังนั้นการกินอาหารในแต่ละมื้อน้อยๆ จะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานแต่พอดีๆ แต่ยังช่วยให้ร่างกายคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย แถมจะช่วยให้การเผงผลาญอาหารทำได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
6.หายใจลึกๆ ใช้สมาธิจดจ่อกับลมหายใจเข้า-ออกติดต่อกับสักประมาณ 2 นาที จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจากอาการเหน็ดเหนื่อย วิตกกังวล เศร้าใจ เสียใจ หรือโกรธต่างๆได้มาก ซึ่งช่วยให้จิตใจคุณสงบ สบายขึ้น คุณอาจตั้งสติจดจ่อกับการหายใจแบบนี้ในเวลาที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆอยู่คนเดียว เช่น ตอนที่รถติดๆบนถนน ขณะเดินเล่น หรือแม้กระทั้งเวลาซักผ้า ล้างจาน จะช่วยให้จิตใจคุณมีสมาธิดีขึ้นด้วย
7.ออกกำลังกายให้มากขึ้น และทำอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้างสารเอ็นโดฟินส์ขึ้นมาในสมองโดยอัตโนมัติ ซึ่งสารนี้ให้ความรู้สึกเป็นสุข ช่วยคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียได้ชะงัด และยังช่วยให้กล้ามเนื้อใช้พลังงานที่เผาผลาญมาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ขนาดที่เหมาะคือการออกกำลังกายหนักปานกลางอย่างน้อยประมาณ 30 นาที อย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่นานๆจะมีโอกาสออกกำลังกายสักที ควรตั้งต้นเสียใหม่ยังไม่สายเกินไป ด้วยการเริ่มออกกำลังกายจากทีละน้อยๆช้าๆก่อน เช่น การเดินรอบๆบ้าน แล้วค่อยๆเพิ่มระยะทาง ความหนักทีละนิดๆ เช่น เปลี่ยนเป็นวิ่งระยะใกล้ๆ แล้วค่อยเพิ่มระยะทางขึ้น เลือกการออกกำลังกายแบบใดก็ได้ที่ไม่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเกินไปจนทนไม่ไหวเสียก่อน เมื่อคุณได้ใช้พลังงานไปกับการออกกำลังกายแล้ว จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิท ความรู้สึกนึกคิดก็จะแจ่มใสกว่าเดิม
8.อยู่กับปัจุบันให้ได้ มีคนกล่าวไว้ว่าหากแบ่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตเป็น 100 ส่วน ประมาณ 35 ส่วนจะถูกใช้ไปกับการคิดถึงอดีต 35 ส่วนจะใช้ไปกับการคิดถึงอนาคต ที่เหลือเพียง 30 ส่วนจึงจะใช้ไปในการคิดถึงปัจจุบัน ฟังแล้วเห็นภาพว่าทำไมเรารู้สึกเหนื่อยกับเรื่องบางเรื่องที่มันผ่านไปแล้วและเราไม่สามารถแก้ไขได้ หรือเหนื่อยกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเสียเหลือเกิน ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ การอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นได้ การจดจ่ออยู่กับปัจจุบันทำให้คุณมีสติอยู่ทุกขณะจิต มองโลก มองสิ่งที่เกิดขึ้นตามความจริงจะช่วยให้คุณตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้อย่างดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลังไม่ลนลาน ร้อนรน ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและคนรอบข้างได้
อ่านจนครบ 8 วิธีแล้ว หวังว่าใครที่มักรู้สึกเพลียใจอยู่จนเป็นกิจวัตรน่าจะปรับตัวให้ดีขึ้นนะครับ แถมท้ายอีกหน่อยด้วยวิธีแก้เครียด และกลัว ซึ่งมีที่มาเหตุการณ์ต่างๆที่คุณประสบพบเจอ ปัญหาชีวิต ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาชีวิต ความคิด ความทรงจำ หรือแม้ผิดหวังจากสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ ทั้งหมดนี้ล้วนก่อความเคียดให้คุณได้ไม่มากก็น้อย นำมาซึ้งอาการข้างเคียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปวดหัว ปวดคอ ปวดตึงที่กล้ามเนื้อไหล่ เหงื่อออกมาก ใจเต้นแรงเป็นต้น วิธีการคลายเคียดที่เราอยากแนะไว้ตรงนี้ โดยการ…..
· กินอาหารให้ถูกสัดส่วน พร้อมกับหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ อย่างที่พูดถึงไปแล้วข้างต้น
· อย่าเก็บปัญหาที่คุณกำลังเคียดอัดอั้นไว้กับตัว ลองทำใจปลดปล่อยมันออกมาด้วยการเล่าให้เพื่อนสนิทที่คุณไว้ใจสักคนฟัง ปรึกษากับเพื่อนถึงปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ การปลดปล่อยจะทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้น แล้วสติปัญญาแจ่มใสคิดแก้ไขสถานการณ์ก็จะเกิดตามมา ไม่เชื่อลองดู
· ผ่อนคลายจิตใจด้วยการหัวเราะเสียบ้าง การอยู่ท่ามกลางคนอารมณ์ดีจะช่วยคุณได้มากในเรื่องนี้ จะทำให้คุณคลายเคียดได้ชะงัด ความคิดจะกับมาแจ่มใส พร้อมหันหน้าสู้ปัญหาอย่างมีสติ
· ให้เวลากับกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่คุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ทำงานบ้านฯลฯ จะเป็นวิธีการผ่อนคลายความเครียดได้ดีอีกวิธีหนึ่ง ทั้งยังทำให้คุณมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือจากปัญหาเดิมๆเหล่านั้นด้วย เผลอๆจะช่วยคุณมีทางออกให้กับปัญหาแบบไม่รู้ตัว
· ที่สำคัญที่สุดอย่างที่กล่าวไปแล้วคือ การอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด

21.9.50

ประเทศเกาหลี (Korea)


Histoire


La première fondation d'un État en Corée remonte au IIIe millénaire av. J.-C. Depuis lors, ce pays a survécu tant bien que mal entre la Chine et le Japon sans toutefois perdre son identité. La Corée garde encore une culture riche qui a son caractère propre.
La division contemporaine de la Corée remonte aux suites de
l’occupation japonaise commencée à partir de 1905. À la fin de la Seconde Guerre mondiale en 1945, la Corée a été divisée en deux zones par les puissances mondiales, les États-Unis et l'URSS. En 1948, le Sud et le Nord se constituaient chacun en un État indépendant, un Nord communiste, et un Sud sous influence étatsunienne. En juin 1950, la guerre de Corée commençait. Le Sud était soutenu par les États-Unis, le Nord par la Chine. L'accord de cessez-le-feu de Panmunjeom (signé en 1953), a mis fin aux combats. Mais à ce jour, la guerre n'est toujours pas officiellement terminée. Depuis, la péninsule est divisée par une zone démilitarisée (DMZ) aux alentours du 38e parallèle, qui est paradoxalement, la plus militarisée du monde.
Après la guerre, la République de Corée, régime autoritaire sous le gouvernement autocratique de
Syngman Rhee puis sous la dictature de Park Chung-hee, a connu une croissance économique rapide. C’est dans les années 1980 que les manifestations ont mis fin à la dictature pour installer un pouvoir démocratique. Kim Dae-jung est le premier président bénéficiant d'une véritable légitimité démocratique.
La possibilité d'une réunification reste un sujet important de la vie politique péninsulaire : aucun traité de paix n'a été signé avec le Nord, mais le gouvernement sud-coréen a annoncé début 2006 son intention de signer un tel traité. La Corée du Sud maintient des efforts en vue d'améliorer la situation, malgré les menaces autour du programme nucléaire du Nord.
Voir l'article détaillé
réunification de la Corée.

15.9.50

Cendrillon


Histoire

Il était un brave homme qui vivait dans un pays lointain. Il avait une belle maison et une ravissante fille.Il lui donnait tout ce qu'il pouvait.
Alors pour lui faire plaisir, il épousa une veuve qui avait deux filles. Ainsi avec une nouvelle maman et deux soeurs sa fille aurait tout pour être heureuse.

Mais hélas, le brave homme mourut peu après. Tout changea pour la fillette. Sa belle-mère n'aimait que ses deux filles, Anastasia et Javotte, égoîstes, laides et méchantes.

Sa marâtre qui était fort méchante, lui confia des tâches les plus rudes, la faisait coucher au grenier et la malmenait sans cesse. Les filles de la méchante femme traitaient Cendrillon plus mal encore.
Cendrillon s'ennuyait, un jour le roi dit à son majordome, il est grand temps que le Prince mon fils se marie, nous allons organiser un bal aujourd'hui même. Ce soir-là, alors que la cruelle marâtre et ses filles s'apprêtaient à partir pour le bal, Cendrillon, meurtrie et désespérée, s'enfuit dans la cour et se mit à pleurer.

Soudain, Cendrillon entendit une voix. C'était sa marraine la Fée, qui lui dit: "Sèche tes larmes, tu iras au bal, je te le promets, n'oublies pas que j'ai un pouvoir magique. "

Et d'un coup de baguette, elle transforma une citrouille en un élégant carrosse, des souris en fiers chevaux, un chien en cocher et les petites grenouilles en valets de pieds.Mais Cendrillon était triste de se voir si mal vêtue. Un autre coup de baguette magique, et apparurent de magnifiques pantoufles de verre. Puis la fée changea la vieille robe de Cendrillon en une somptueuse robe de bal. Quand Cendrillon fut prête, la Fée lui donna un avertissement... Sois de retour ici à minuit sonnant....car après minuit tout redeviendra comme avant. Soyez sans crainte marraine, je m'en souviendrai. Et le carosse partit vers le château.

Sitôt que Cendrillon apparut au Palais du Roi, le Prince sut que c'était elle qu'il attendait. La musique commença et le Prince l'invita à danser. Ils dansèrent toute la soirée. Le coeur de Cendrillon chantait de joie.

Tout à coup, Cendrillon entendit l'horloge du clocher qui sonnait minuit. Oh! il faut que je m'en aille, dit-elle. Le Prince voulut l'empêcher de partir, mais Cendrillon était déjà sortie de la salle de bal et, sans s'apercevoir qu'elle perdait une de ses pantoufles, avait bondi dans son carosse, qui la ramena chez elle en toute hâte. Le dernier coup de minuit venait à peine de sonner que tout redevint comme avant.
Tout, sauf, l'autre pantoufle de vair qu'elle put conserver en souvenir de cette merveilleuse soirée. Au Palais Royal, un serviteur trouva la pantoufle perdue et l'apporta au Prince. son père le Roi avec l'approbation de la Reine donna ordre de faire essayer la pantoufle à toutes les filles du Royaume et demanda qu'on ramène au Palais Royal celle qui pourrait la chausser. Au hasard de ses recherches, le Prince arriva à la demeure de Cendrillon. Ses soeurs, Anastasia et Javotte, essayèrent la pantoufle mais leurs pieds étaient trop grands. Le Prince allait partir quand Cendrillon demanda de chausser la pantoufle de verre.Sa marraine la Fée apparut et d'un dernier coup de baguette transforma Cendrillon.

Le Prince, qui en était déjà amoureux, la demanda en mariage.Le Roi et la Reine était très heureux. Cendrillon et le Prince vécurent une longue vie de bonheur.

10.9.50

MV เพลง Happiness

A little bit of Duck history


A little bit of Duck history
One of the most popular of the Disney cartoon characters, Donald Duck made his debut in the Silly Symphony cartoon "The Wise Little Hen" on June 9, 1934. His fiery temper endeared him to audiences, and in the 1940s he surpassed Mickey Mouse in the number of cartoons reaching the theaters. Eventually, there were 128 Donald Duck cartoons, but he also appeared in a number of others with Mickey Mouse, Goofy, and Pluto. His middle name, shown in a wartime cartoon, is Fauntleroy. Clearly, the most significant factor that led to Mickey's super-stardom was his optimistic, cheerful, resilient character -- one very much like Walt's. The original voice of Donald was Clarence "Ducky" Nash, who was succeeded after 50 years by Disney artist Tony Anselmo. A daily Donald Duck newspaper comic strip began on February 7, 1938.
Donald Duck has a good heart and always has good intentions. Well, almost always. Actually, it's his second or third intentions that are the good ones, but by the time they surface Donald's already off and running in the wrong direction. He refuses to let anyone or anything stand in his way. It doesn't matter how much humiliation the world dishes out to him, Donald will take it and come back for more. He's a loser, not a quitter, and he'll go down fighting. This is a duck with one short fuse, and an amazing (if unintelligible) command of language, and when things don't go right, he goes ballistic. Yet after the storm is over and the tantrum is through, when faithful Daisy soothes his brow or his conscience finally catches up with him, even Donald can admit that there must be a better way. If only he could figure out what it is.

The Incredibles


The Incredibles follows the adventures of a family of former superheroes rediscovering the true source of their powers -- in one another. Once one of the worlds top masked crimefighters, Bob Parr (AKA Mr. Incredible) fought evil and saved lives on a daily basis. But fifteen years later, he and his wife Helen (a famous former superhero in her own right) have been forced to take on civilian identities and retreat to the suburbs. Today they live as mere mortals and lead all-too-ordinary lives with their children -- who go out of their way to appear "normal." As a clock-punching insurance man, the only thing Bob fights these days is boredom and a bulging waistline. Itching for action, the sidelined superhero gets his chance when a mysterious communication summons him to a remote island for a top-secret assignment. Now, with the fate of the world hanging in the balance, the family must come together and once again find the fantastic in their family life. You can find here lots of colouring pictures, pictures, desktop themes, screensavers, MSN avatars from the different characters and more to come!

Mickey Mouse



The history of Mickey Mouse
Walt is said to have drawn the first sketches of Mickey Mouse on a train to Los Angeles after losing the rights to Oswald, the cartoon rabbit. Viewed from a distance of over 70 years, it appears that Mickey's success was inevitable, that he was a kind of force of nature in entertainment, destined to become one of the most beloved characters in the world. But the truth isn't so simple. In fact, Mickey Mouse could easily have become just another character in the history of animation, joining the likes of Popeye, Betty Boop, and Felix the Cat. In fact, when Mickey was first created he didn't look so very different from many of his predecessors. Clearly, the most significant factor that led to Mickey's super-stardom was his optimistic, cheerful, resilient character -- one very much like Walt's. It may be true that animator Ub Iwerks was largely responsible for Mickey's final form -- reworking Walt's sketches to make the mouse easier to animate. But as old animators have commented, according to animation historian Charles Solomon, "Ub designed Mickey's physical appearance, but Walt gave him his soul."
Still, an appealing personality didn't guarantee Mickey fame. He got his first big break because of one seemingly simple flash of inspiration: In a day when cartoon characters were silent, Walt decided to give Mickey Mouse a voice. Other studios had experimented with synchronizing sound and animation, but none had done a particularly successful job. Writes Solomon of Mickey's start, "The first three films . . . were made as silents. Distributors expressed little interest in them: Mickey seemed very similar to Oswald. Disney was asking for $3,000 per film (a considerable sum at the time) and insisted on retaining the rights to the Mickey Mouse character." It was then that Walt decided to spend every dollar he had creating a soundtrack for one of these three cartoons, "Steamboat Willie." It wasn't easy, and a lesser man than Walt would have given up. Musicians didn't keep time to the cartoon . . . a bull-fiddle player turned up drunk . . . money ran short. But the job was finally done. And when "Steamboat Willie" premiered at New York's Colony Theater, it attracted a great deal of attention. The "New York Times" called it "an ingenious piece of work with a good deal of fun." And Mickey was off and running.

9.9.50

โค้ดเมาส์

โค้ดคร่า

Doraemon
















Doraemon is a cat-like robot from the 22nd century of the future. His favorite food is dorayaki, a sweet bean paste filled bun, and his birthday is 2112-9-3 he is also know by the name "Ding-dong". He weighs 129.3 kg, is 129.3 cm tall, can leap 129.3 cms in the air and can run 129.3 km per hour. He is afraid of mice and hates rats, his ears were eaten off by rats. He has a fourth-dimensional pocket on his abdomen from which he can take out many amazing TOOLS. Doraemon was sent back to the 20th century because Nobita's grandson can't bear to see his grandfather suffer. So he sent Doraemon to help out with Nobita's troubles.




Dorami

Dorami is the little sister of Doraemon. The only reason she is not blue is because she didn't have her ears bitten off by rats. She looks a lot like Doraemon, don't you think? Dorami has all the abilities that Doraemon has, including the fourth dimensional pocket. She is nice and not as grouchy as Doraemon. She does not live with Nobita and Doraemon. She lives with the original master of Doraemon in the 22nd century. She only appears in situations that Doraemon cannot control.


8.9.50

ผู้พากย์เรื่อง Lilo and Stitch

Stitch (voice by Chris Sanders)
Lilo (voice by Daveigh Chase)






Nani (voice by Tia Carrere)










Jumba (voice by David Ogden Stiers)










Cabra (voice by Ving Rhames)










David (voice by Jason Scott Lee)




Preakley (voice by Kevin McDonald)






Captain Gantu (voice by Kevin Michael Richardson)












ชีวิตมีความท้าทายรออยู่สำหรับ ลีโล่ (ให้เสียงพากย์โดย ดาวีห์ เชส) เด็กหญิงเหงาๆ ชาวฮาวาย ที่ใช้ชีวิตอยู่กับพี่สาววัย 19 ชื่อ นานี่ (ให้เสียงพากย์โดย เทีย คาร์เรเร่) สาวน้อยทั้งสองดิ้นรนต่อสู้เลี้ยงดูตนเองแต่อะไรๆ ไม่ได้ดำเนินไปอย่างสวยงามนัก เมื่อ คอบร้า บับเบิลส์ (ให้เสียงพากย์โดย วิง เรมส์) นักสังคมสงเคราะห์จอมเครียดแวะมาเยี่ยม เขาก็พบสองสาวพี่น้องกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาจึงเตือนนานี่ว่า เธอมีเวลาเหลืออีกแค่ 3 วันเท่านั้น ในอันที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า เหมาะสมแก่การทำหน้าที่ดูแลลีโล่ได้ หาไม่แล้วสถานการณ์ในบ้านหลังนี้ จะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน และแล้วในเย็นวันนั้น ลีโล่ก็เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างห้องนอน เธอจึงอธิษฐานขอ "ใครซักคนก็ได้มาเป็นเพื่อน ใครซักคนที่จะไม่วิ่งหนีหนูไป" ก่อนเสริมด้วยว่า "ท่านส่งเทวดามาให้หนูก็ได้ เทวดาที่น่ารักที่สุดที่ท่านมีอยู่น่ะค่ะ"

แต่ในความจริง ดาวตกดวงนั้นคือยานอวกาศของ สติทช์ สิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่รู้จักกันในชื่อ "การทดลอง 626") ซึ่งเพิ่งหนีมาจากดาวทูโร่ นักวิทยาศาสตร์ชื่อ จัมบ้า (ให้เสียงพากย์โดย เดวิด อ็อกเดน สเทียร์ส) ผู้สร้างมันขึ้นมาพูดถึงสติทช์ว่า เป็นอะไรที่ "กันกระสุน กันไฟ และคิดได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซะอีก มันมองเห็นได้ในความมืด และยกวัตถุอะไรๆ ที่ใหญ่โตกว่าตัวมันถึง 3 พันเท่าได้ สัญชาตญาณอย่างเดียวของมันก็คือ.. ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสัมผัส" ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย ในสายตาของสมาชิกสภาหญิง (ให้เสียงพากย์โดย โซ คาลด์เวลล์) แห่งสหพันธ์กาแล็กติค เธอจึงจับจัมบ้าเข้าคุก และพิพากษาให้ส่งตัวสติทช์ ไปยังดาวเคราะห์น้อยไกลลิบ แต่ก่อนที่กัปตันแกนทู จะลงมือกำจัดสติทช์ตามคำสั่ง มันก็ขโมยยานของตำรวจ และบังคับให้พุ่งด้วยความเร็วสูง หนีมายังโลกได้ทันเวลา สมาชิกสภาไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงต้องเสนอว่า จะปล่อยตัวจัมบ้าเป็นอิสระ หากเขาตามจับสติทช์กลับมาได้ และเพื่อจะคอยควบคุมปฏิบัติการของจัมบ้าไว้ ไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงส่ง พลีคลี่ย์ (ให้เสียงพากย์โดย เควิน แม็คดอนัลด์) เอเลี่ยนผู้สนใจศึกษาโลกมนุษย์เป็นพิเศษ และมีสามขากับตาหนึ่งข้างให้ติดตามมาด้วย (โดยความรู้ทั้งมวลที่พลีคลี่ย์มีเกี่ยวกับโลกนั้น ได้มาจากการดูภาพใน View-master® ล้วนๆ )

ฝ่ายสติทช์นั้นบังคับยานมาถึงโลก และเคราะห์ร้ายดิ่งเข้าใส่รถบรรทุกน้ำตาลทรายเต็มเปา เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่า ตัวเองอยู่ในบ้านดูแลสัตว์หลังหนึ่ง และฉายแววเสน่ห์น่ารักเข้าตา จนลีโล่เก็บมันไปเลี้ยง (พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า สติทช์) ทักษะสุดล้ำหน้า ทำให้มันสามารถเก็บซ่อนแขนขาพิเศษ (จาก 6 เหลือ 4 ข้าง), เสาอากาศและเดือยบนหลังได้ เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนหมาหน้าตาพิลึกๆ ตัวหนึ่ง แม้พี่สาวของลีโล่ และลูกจ้างบ้านดูแลสัตว์จะผวาหน้าตาของมัน แต่ลีโล่กลับหลงรักสติทช์ และยืนกรานจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ได้ ขณะที่สติทช์เองก็รู้ว่า ลีโล่กับนานี่มีที่คุ้มภัย ให้มันรอดจากเงื้อมมือชองจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ได้ มันจึงยินดีที่จะถูกรับตัวไปเลี้ยง และทำตัว "ติดหนึบ" กับครอบครัวใหม่ของมันทันที

แต่ชีวิตใหม่ก็ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย สติทช์เริ่มสำแดงพฤติกรรมร้ายๆ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนแทบจะเรียกได้ว่า เป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน้อยที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ เมื่อลีโล่พามันไปร้านอาหารที่นานี่ทำงานอยู่ สติทช์ก็สร้างความพินาศจนนานี่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ถึงอย่างนั้นลีโล่ก็ยังปกป้องมัน และกระตุ้นให้มันทำตัวเป็นประชากรตัวอย่าง เหมือนฮีโร่ของเธอคือ เอลวิส เพรสลี่ย์ ด้วย เดวิด คาเวน่า (ให้เสียงพากย์โดย เจสัน สก็อตต์ ลี) แฟนเก่า และเพื่อนร่วมงานของนานี่ พยายามช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น ด้วยการชวนไปเล่นโต้คลื่นในตอนบ่าย ซึ่งสติทช์ก็สามารถเอาชนะ อาการเกลียดการเล่นเซิร์ฟของมันได้สำเร็จ แถมยังติดอกติดใจไม่ยอมเลิก จนเมื่อจัมบ้ากับพลีคลี่ย์มาพบเข้า ทั้งคู่ก็ดึงมันให้จมลงใต้น้ำ แต่เดวิดเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา

คอบร้า บับเบิลส์ เห็นภาพความวุ่นวายบนชายหาดเข้าเต็มตา จึงบอกกับนานี่ว่า เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกจากแยกตัวลีโล่ไปซะ สติทช์จึงรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่า มันกำลังทำลายครอบครัวน้อยๆ นี้ ขณะที่ความปรารถนาโอฮาน่า ('ohana - ศัพท์ฮาวายเอี้ยน หมายถึงแนวคิดเรื่องครอบครัว ที่จะไม่มีการทอดทิ้ง หรือหลงลืมใครไว้ตามลำพัง) ของลีโล่ก็จางลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อสมาชิกสภาหญิง ไล่จัมบ้ากับพลีคลี่ย์ออก เพราะปฏิบัติการล้มเหลว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงมือครั้งสุดท้าย ด้วยการไล่ตามสติทช์ ไปถึงบ้านของลีโล่กับนานี่ แล้วพังบ้านนั้นทิ้ง แต่ก็ยังจับตัวสติทช์ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง

ในช่วงเวลาที่อะไรๆ เลวร้ายถึงขีดสุด กัปตันแกนทู (ให้เสียงพากย์โดย เควิน ไมเคิล ริชาร์ดสัน) ก็เดินทางมา พร้อมยานลำยักษ์ เพื่อจับตัวสติทช์ มันหนีไปได้ แต่ลีโล่กลับถูกจับแทน สติทช์ซึ่งตระหนักในที่สุดว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวลีโล่กับนานี่ จึงเกลี้ยกล่อมจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ ให้ร่วมแรงกันช่วยลีโล่ออกมา การไล่ล่าอันดุเดือดทั่วเกาะฮาวายจึงเกิดขึ้น และสติทช์สามารถช่วยลีโล่ออกมาได้สำเร็จ ร้อนถึงสมาชิกสภาหญิง ต้องตัดสินใจออกมาเป็นผู้ควบคุมตัวสติทช์เอง และเกมนี้ดูเหมือนจะจบสิ้นลงในที่สุด แต่.. กฎของเกมก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ใครๆ คาดคิด!

ปัญหาและอารมณ์ขันมีอยู่เหลือล้นในสวรรค์! เมื่อเด็กหญิงขี้เหงาชาวฮาวายชื่อ ลีโล่ อธิษฐานกับดวงดาวขอใครซักคนมาเป็นเพื่อน แล้วเอเลี่ยนจอมซนมหากาฬแห่งจักรวาล ตอบรับคำขอของเธอใน Lilo & Stitch แอนิเมชั่นขบขันสดใส เรื่องใหม่ล่าสุดจาก วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส เรื่องนี้ ที่ซึ่งผสมผสานตัวละครอันน่าจดจำ, เรื่องราวที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ กับอารมณ์ขันพิลึกกึกกือ และงานภาพสวยงามเจิดจ้า (เพราะนี่เป็นหนังเรื่องแรกในรอบ 6 ทศวรรษของทางสตูดิโอที่ใช้สีน้ำ!!!)

หนังเล่าเรื่องราวของหนูน้อยลีโล่ ที่ได้เผชิญหน้าระยะกระชั้น กับเอเลี่ยนทดลองสุดซ่าชื่อ "สติทช์" ซึ่งหนีมาจากดาวแห่งเอเลี่ยน แล้วหล่นลงบนพื้นโลก รูปร่างเล็กจ้อยหน้าตาละม้าย "หมา" ของสติทช์ ทำให้ลีโล่เก็บมันไปเลี้ยงด้วยความรัก ความจริงใจ และความเชื่ออันมั่นคงต่อเรื่อง "โอฮาน่า" ('ohana - ศัพท์ฮาวายหมายถึงครอบครัว) จนสามารถเปิดหัวใจของสติทช์ได้สำเร็จ และมอบสิ่งหนึ่ง ที่มันไม่เคยคาดฝันว่าจะมี นั่นคือ ครอบครัว
ด้วยภาพบ้านเมืองเขตร้อนเขียวชุ่มฉ่ำ, อารมณ์ขันไม่ธรรมดา และเพลงคลาสสิคของ เอลวิส เพรสลี่ย์ ทำให้ Lilo & Stitch เป็นหนังที่จะพาคนดูเข้าสู่การเดินทางอันแสนรื่นรมย์ผ่านห้วงจักรวาลแอนิเมชั่น โดยงานชิ้นนี้นับเป็นหนังเรื่องที่ 2 ที่สร้างกันที่แผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่นในฟลอริด้า (Florida Feature Animation) ของดิสนีย์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นสถานที่สร้างผลงานเรื่องดังปี 1998 อย่าง Mulan มาแล้ว
องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมความโดดเด่นและความสนุกสนานให้แก่ Lilo & Stitch ก็คือซาวด์แทร็คสุดโจ๋ของ "ราชา" เอลวิส เพรสลี่ย์ ซึ่งเป็นผู้ขับร้องเพลงยอดฮิตทั้ง 6 เพลงที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ รวมถึงเวอร์ชั่นใหม่สุดเร้าใจของอีก 2 เพลงดังของเอลวิสคือ Burning Love ซึ่งขับขานโดยนักร้องคันทรี่ ระดับชิงรางวัลแกรมมี่อย่าง วินอนน่า (Wynonna) และ Can't Help Falling in Love ในช่วงเครดิตท้ายเรื่อง ขับร้องโดย A*Teens วงดนตรีพ็อพสุดดังของสวีเดน กับยังได้คอมโพสเซอร์ชื่อก้องอย่าง อลัน ซิลเวสทรี (เข้าชิงออสการ์จาก Forrest Gump) มาเพิ่มสีสันและความแฟนตาซี ให้แก่เรื่องราวเมามันยากจะคาดเดาของหนังเรื่องนี้ ด้วยดนตรีประกอบของเขา ร่วมกับนักดนตรีฮาวายมือฉมัง มาร์ค คีลี โฮโอมาลู (Mark Keali'i Ho'omalu) ในเพลงฮาวายเอี้ยนอีก 2 เพลง ซึ่งแสดงโดยสมาชิกวงคอรัสจาก Kamehameha School Children's Chorus
Lilo & Stitch เป็นหนังเรื่องที่สอง ที่สร้างกันในแผนกแอนิเมชั่นที่ฟลอริด้าของดิสนีย์ โดยทุกส่วนของงานสร้าง (ยกเว้นการวาดดิจิตอลที่ใช้ระบบ CAPS ซึ่งเคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว) เป็นหน้าที่รับผิดชอบของศิลปิน, แอนิเมเตอร์ และช่างเทคนิค 300 ชีวิตที่แผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่นในฟลอริด้านี้
ผู้รับหน้าที่ดูแล Lilo & Stitch ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงงานสร้างก็คือ ทีมผู้กำกับ/เขียนบท คริส แซนเดอร์ส กับ ดีน เดบลัวส์ โดยแซนเดอร์สเป็นมือเก๋าผู้เก่งกาจ ที่ทำงานกับแผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่น ของดิสนีย์มาตั้งแต่ปี 1987 และเคยทำสตอรี่บอร์ดฉากสำคัญๆ ใน Beauty and the Beast, เป็นโปรดัคชั่นดีไซเนอร์ให้ The Lion King และเป็นหัวหน้าทีมคิดเรื่องของ Mulan มาแล้ว ก่อนจะรับหน้าที่สร้างไอเดียของหนังเรื่องนี้ ส่วนเดอบลัวส์ ซึ่งเคยร่วมงานกับแซนเดอร์ส ในตำแหน่งหัวหน้าร่วมของฝ่ายเรื่องราวใน Mulan ก็สานต่อไอเดีย และนำความสามารถด้านการวางโครงร่างภาพ มาใช้กับโปรเจ็คต์นี้ ทั้งคู่เลือกทำบทให้เป็นสตอรี่บอร์ดด้วยตนเอง แทนที่จะใช้วิธีส่งต่อ ให้เป็นหน้าที่ของแผนกเรื่องราวเหมือนปกติ นั่นทำให้พวกเขาสามารถถ่ายทอดมุมมองของตน ต่อทีมงาน และกำหนดทิศทาง แก่ทีมแอนิเมเตอร์กับทีมสร้างสรรค์ ได้อย่างชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน
ตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างตกเป็นของ คลาร์ค สเปนเซอร์ ซึ่งทำงานกับดิสนีย์มานาน 12 ปีโดยเริ่มจากงานด้านวางแผนและการเงิน ล่าสุดเป็นรองประธานอาวุโส กับผู้จัดการทั่วไปของวอลท์ ดิสนีย์ฟีเชอร์แอนิเมชั่นฟลอริด้า ลิซ่า พูล รับหน้าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง และ เจฟฟ์ ดัตตัน ผู้ประสานงานฝ่ายศิลปะ มาใช้ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ และการจัดการของเขา ในหน้าที่ดูแลงานสร้าง ให้ได้ผลดีเลิศที่สุดเมื่อปรากฏบนจอ
ผู้รับหน้าที่ถ่ายทอดมุมมองของผู้กำกับ ให้กลายเป็นภาพบนจอก็คือ พอล เฟลิกซ์ โปรดัคชั่นดีไซเนอร์, ริค สลูเตอร์ ผู้กำกับศิลป์ และ บ็อบ สแตนตัน แบ็คกราวด์ซูเปอร์ไวเซอร์ โดยภาพวาดแรกเริ่มของแซนเดอร์ส ให้ไอเดียเกี่ยวกับการใช้สีน้ำ และสลูเตอร์ก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า สไตล์ของสื่อชนิดนี้ เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับการใช้จับอารมณ์ชุ่มฉ่ำ ตามธรรมชาติของเกาะฮาวาย พวกเขาร่วมกันทดลองสีน้ำ และค้นพบแนวทางใหม่ๆ ในการทำให้วิธีนี้เหมาะกับตัวหนัง สีน้ำเป็นสื่อที่เคยใช้กันเป็นปกติ ในหนังดิสนีย์ยุคแรกๆ อย่าง Snow White and the Seven Dwarfs, Pinocchio, Dumbo และ Bambi แต่ต่อมานักวาดได้เปลี่ยนมาใช้สีผสมน้ำมัน "gouache" (เป็นวิธีวาดสีทึบ) มากกว่า จนกระทั่งทีมแบ็คกราวด์ของ Lilo & Stitch กลับมารื้อฟื้นศิลปะที่ห่างหายไปแล้วนี้อีกครั้ง และนำมาใช้ในวิธีใหม่ที่น่าตื่นเต้น
นอกเหนือจากทีมที่กล่าวมาแล้ว ซูเปอร์ไวเซอร์คนหลักๆ ของหนังยังได้แก่ อาร์เดน ชาน (เลย์เอาต์), โจ กิลแลนด์ (วิชวลเอฟเฟ็คต์ส), เอริค กวากลิโอน (คอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น) และ ฟิลลิป บอยด์ กับ คริสทีน ลอว์เรนซ์-ฟินนีย์ ดูแลด้านคลีน-อัพ (Clean-Up) กิลแลนด์กับกวากลิโอน พบวิธีผสมผสานภาพจากเทคโนโลยี CG (computer generated) และเอฟเฟ็คต์เข้ากับภาพวาดสีน้ำ ส่วนทีมดิจิตอลโปรดัคชั่นและเอฟเฟ็คต์ ทำโมเดลและวาดภาพวัตถุต่างๆ เช่น ยานอวกาศ, ปืนรังสี, กระดานโต้คลื่น, ยานแม่ที่จะปรากฏให้เห็นในฉากเปิดเรื่อง นอกจากนั้น ทีมเอฟเฟ็คต์ยังสร้างภาพใต้น้ำที่น่าทึ่ง และพาคนดูไปพบกับภาพ ที่แม้แต่หนังคนแสดงก็ยังทำไม่ได้นั่นคือ ภาพด้านในของคลื่นยักษ์ กับยังมีเอฟเฟ็คต์น่าตื่นตาอีกมากมายในหนัง ไม่ว่าจะเป็นภาพลาวาไหลทะลัก, ระเบิด และภาพยานอวกาศของสติทช์ที่ถูกขโมยไป แล้วพุ่งด้วยความเร็วสูง เข้าสู่อุโมงค์กาลเวลาอย่างรุนแรง
เนื่องจากเรื่องราวเกิดขึ้นที่ฮาวาย ทีมงานจึงใช้เวลาไปศึกษาความงามตามธรรมชาติอันน่าทึ่ง ของเกาะสวรรค์แห่งนี้ แซนเดอร์ส, เดอบลัวส์, สลูเตอร์ ผู้กำกับศิลป์, สแตนตัน แบ็คกราวด์ซูเปอร์ไวเซอร์, แอนเดรียส เดจา แอนิเมเตอร์ และทีมงานอีกหลายคนหอบหิ้วกล้อง, พู่กัน และสมุดสเก็ตช์ แล้วมุ่งหน้าสู่ฮาวายเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อศึกษาทิวทัศน์ที่นั่น โดยใช้เวลาส่วนใหญ่บนเกาะคาวี (Kauai) ซึ่งทีมงานทั้งดำน้ำสน็อกเกิล, สกูบ้า, เล่นเซิร์ฟ และเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ อย่าง Hanalei, Hanapepe, หาดนาปาลี, พรินซ์วิลล์ และหาด Ke'e Beach รวมถึงอุทยานแห่งชาติอีกหลายแห่ง เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับใบไม้, พันธุ์พืช, หินลาวา, ทรายสีส้ม, ท้องทะเลสีเทอร์คอยซ์, ภูเขาสีแดงสด และภาพดวงอาทิตย์ตกอันสวยงาม นอกจากนั้น เดจายังไปดูโรงเรียนชนพื้นเมืองฮาวาย ซึ่งเน้นการศึกษาภาษา และวัฒนธรรมประจำเกาะด้วย

หัวใจสำคัญของเสน่ห์ และอารมณ์ของหนังก็คือ ทีมพากย์ระดับแนวหน้า นำโดย ดาวีห์ เชส (อายุ 11 ขวบ) รับบทเอกเป็นลีโล่ เธอเข้ามาทดสอบบท พร้อมกับเด็กหญิงคนอื่นๆ อีก 100 คน และสามารถอ่านบทได้ ตรงกับจินตนาการของทีมผู้กำกับมาก
น้ำเสียงอบอุ่นหวานหูในบท นานี่ ของ เทีย คาร์เรเร่ นักแสดงสาวเชื้อสายฮาวายตัวจริง ก็สร้างความประทับใจแก่ผู้กำกับ จนคว้าบทพี่สาวจอมวุ่นของลีโล่มาได้สำเร็จ เช่นเดียวกับ วิง เรมส์ ที่ให้เสียงมีอำนาจปนลึกลับแก่บท คอบร้า บับเบิลส์ หนุ่มนักสังคมสงเคราะห์จอมเคร่งเครียด, เดวิด อ็อกเดน สเทียร์ส นักแสดงมากความสามารถ คนโปรดของแอนิเมเตอร์ดิสนีย์ ให้เสียงตัวร้ายอัจฉริยะ จัมบ้า จูกิบ้า, เควิน แม็คดอนัลด์ จาก Kids in the Hall และ That 70s Show พากย์เสียง พลีคลี่ย์ เอเลี่ยนผู้เชี่ยวชาญด้านโลกมนุษย์, เจสัน สก็อตต์ ลี (ซึ่งเคยแสดงเป็นเมาคลี ในหนังของดิสนีย์เรื่อง The Jungle Book) นักแสดงชาวฮาวายอีกคนหนึ่ง ให้เสียง เดวิด คาเวน่า แฟนเก่าและเพื่อนร่วมเล่นโต้คลื่นของนานี่, โซ คาลด์เวลล์ นักแสดงหญิงเจ้าของ 4 รางวัลโทนี่ ให้เสียงสมาชิกสภาหญิง
สำหรับเรื่องเสียงพากย์สติทช์นั้น ผู้กำกับ คริส แซนเดอร์ส บอกว่า "ตอนแรกเราไม่ได้คิดจะให้สติทช์พูดได้ ตอนที่ผมเอาโครงเรื่องไปเสนอนั้น ผมทำเสียงเล็กๆ น่ากลัวๆ ผสมไปด้วย ซึ่งมันก็ดูเข้ากันดีกับภาพวาด เราก็เลยยึดเสียงแบบนี้เอาไว้ และเมื่ออยู่ในช่วงพัฒนาเรื่อง เราก็ตัดสินใจว่าจะให้มันพูดซัก 2-3 หน รวมถึงในท่อนจบของหนังด้วย เราจึงพยายามทำงานหนักในด้านนี้ เพื่อให้ได้การแสดงที่ดูจริงใจมากที่สุด"



Lilo and Stitch



ไปดอนหวายมาสนุกด้วย















































5.9.50

กลอนแม่

พระคุณแม่ เลิศฟ้า มหาสมุทร
พระคุณแม่ สูงสุด มหาศาล
พระคุณแม่ เลิศกว่า สุธาธาร
ใครจะปาน แม่ฉัน นั้นไม่มี


อันพระคุณ ใครใคร ในพิภพ ยังรู้จบ แจ้งคำ มาพร่ำขาน
แม่-พ่อ คุณต่อบุตร สุดประมาณ ขอกราบกราน ระลึกถึง ซึ่งพระคุณ
เจ้าข้าเอ๋ย ใครหนอใคร ให้กำเนิด จึงก่อเกิด เติบใหญ่ ด้วยไออุ่น
กล่อมเกลี้ยง เลี้ยงลูกมา ด้วยการุณ ช่วยค้ำจุน จนรอดพ้น เป็นคนมา
ถึงลำบาก ร่างกาย ใจห่วงลูก ด้วยพันผูก ดวงใจ ให้ห่วงหา
หัวอกใคร จะอุ่นเท่า อีกเล่านา คอยปลอบเช็ดน้ำตา คราระทม
เป็นแดนใจ ใสสะอาด ปราศกิเลส เป็นสรรเพ็ชญ์ ของบุตร พิสุทธิ์สม
ความรัก เปี่ยมเมตตา น่านิยม ประดุจลม โชยเย็น ใครเห็นดี
หอบสังขาร ทำงาน เลี้ยงลูกน้อย เกรงจะด้อย ใจทราม ต่ำศักดิ์ศรี
จึงส่งให้ ได้ศึกษา วิชามี ให้ได้ดี กว่าแม่พ่อ หวังรอคอย
เหมือนนกกา หาเหยื่อ มาเผื่อลูก เปรอความสุข หาทรัพย์ไว้ ให้ใช้สอย
ยามไกลพราก จากอุรา ตั้งตาคอย ใจละห้อย นอนสะอื้น ขื่นขมทรวง
กว่าลูกลูก จะสำนึก พระคุณท่าน ช่างเนิ่นนาน บ้างชีวา ลาลับล่วง
บ้างก็ป่วย จนแทบ สิ้นแดดวง ลูกจึงห่วง เอาใจใส่ ในกายา
อย่าให้รอ ใกล้ตาย จึงกรายใกล้ เป็นศพไป จึงรู้บุญ คุณท่านหนา
ยามท่านอยู่ ควรรู้ชัด สร้างศรัทธา คอยหมั่นมา แทนคุณบ้าง อย่าห่างไกล
ขอน้อมนอบ หมอบกราบแท้ พระแม่แก้ว สำนึกแล้ว ความเลว เคยเหลวไหล
ลูกซึ้งแล้ว แนววิถี ที่เป็นไป แม่ช้ำใจ เพราะลูกมา จนชาชิน
ลูกสร้างกรรม ทำบาป กราบเท้าแม่ ซึ้งใจแท้ แม่อภัย ให้หมดสิ้น
น้ำตาแม่ แต่ละหยด ที่รดริน เหมือนมลทิน ดังน้ำกรด รดหัวใจ
ลูกขอบวช ตอบแทน แม้นจะช้า จะไขว่คว้า หาบุญแน่ เพื่อแก้ไข
สร้างผลบุญ ให้แม่พ่อ ต่อตัวไป ให้ท่านได้ ชื่นใจ ไม่เฉยเมย
ขอกุศล ผลบุญ ค้ำจุนแล้ว ขอเพื่อร่ม โพธิ์แก้ว – ทอง ของลูกเอ๋ย
ขอให้ท่าน มีบุญ หนุนคุ้นเคย ขอชดเชย พ่อ – แม่พลัน กตัญญู


ถ้ามีใครซักคน...ที่อดทนทุกเวลา
พร้อมยอมเหนื่อยล้า...เพื่อเราโดยไม่เกรง
ถ้ามีใครซักคน...ที่ยอมรักความเจ็บไว้เอง
คิดถึงตัวเอง...ไม่เท่าไร

ถ้ามีใครซักคน...ที่ตีเราทั้งน้ำตา
แล้วก็เป็นคน...ที่ทายาให้เรา
ถ้ามีใครซักคน...ที่คอยเช็ดตัวให้ทุเลา...ค่ำคืนที่เราไม่สบาย

ร้อยล้านความผิดของเรา...ที่ใครเขาไม่ใยดี
มีคนคนนี้...คนเดียวที่ให้อภัย
ปากบ่นว่าแสนระอา...ว่าเราไม่ดีเท่าใคร
แต่ในใจ...ก็รักไม่เปลี่ยน

เพื่อน


ใครสวยสุด

3.9.50

ไมเคิล ฟาราเดย์


Michael Faradayไมเคิล ฟาราเดย์

นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการศึกษาน้อยและยากจน มีชีวิตอยู่ในสลัม แต่รักในการอ่านหนังสือ และชอบไปฟังการบรรยายของนักวิทยาศาสตร์สำคัญๆเสมอ จนได้เป็นลูกศิษย์ของเซอร์ฮัมฟรีย์ เดวีไมเคิล ฟาราเดย์ เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ปี ค.ศ.1791 เป็นบุตรของช่างเหล็กชาวอังกฤษ เนื่องจากฐานะไม่สู้ดี เขาจึงได้รับการศึกษาน้อย ยังไม่ทันเรียนสำเร็จก็ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน และใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งหนึ่งไม่มีวี่แววว่าจะเติบโตขึ้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงไปได้เมื่อมีอายุได้ 13 ปี ไมเคิลก็ไปทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ และทำงานเย็บปกหนังสือในร้านขายหนังสือด้วย จากการงานนี้ทำให้เขามีใจรักหนังสือและหาโอกาสอ่านอยู่เสมอ โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาไฟฟ้าที่เขาสนใจที่สุด และก็ลองทำการทดลองดูด้วยตนเอง และหาโอกาสไปฟังการบรรยายของเซอร์ฮัมฟรีย์ เดวี ซึ่งเขาจะไปฟังทุกครั้ง และส่งจดหมายแสดงความประสงค์ที่จะขอไปเป็นเด็กรับใช้ของเซอร์ฮัมฟรีย์

เซอร์ฮัมฟรีย์ เดวีย์ เห็นชายหนุ่มมีความสนใจอย่างแรงกล้า จึงรับเข้าทำงานเป็นคนล้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ในห้องเครื่องมือ ทำให้เขามีโอกาสศึกษาวิชาทางวิทยาศาสตร์จากเซอร์ฮัมฟรีย์ จนเกิดความชำนาญ จนได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยและติดตามท่านเซอร์ไปในการเดินทางไปบรรยายทุกครั้งในปี1821 ขณะที่ฟาราเดย์ได้ทำการทดลองเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า เขาก็พบปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่กระแสไฟฟ้าเดินตามเส้นลวดแล้วทำให้เกิดอำนาจแม่เหล็กรอบๆเส้นลวด กระแสนี้เมื่อนำเอาเข็มแม่เหล็กไปวางไว้ใกล้ กระแสนี้ก็จะหมุนไปเรื่อยๆ ด้วยหลักอันนี้ ฟาราเดย์จึงทดลองประดิษฐ์ไดนาโมเล็กๆขึ้น อันเป็นต้นกำเนิดของไดนาโมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ไมเคิล ฟาราเดย์ ล้มป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมในบั้นปลายของชีวิต และถึงแก่กรรมเมื่อ ปี ค.ศ. 1867 ที่แฮมป์ตันคอร์ท เมื่ออายุได้ 76 ปี
ไมเคิล ฟาราเดย์ กล่าวโดยสรุปว่า "เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านสนามแม่เหล็กจะมีผลให้เกิดการเคลื่อนที่ การเคลื่อนที่ของตัวนำ ในสนามแม่เหล็กจะก่อให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้า ในตัวนำนั้น เรียกว่า การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งจะเกิดขึ้นเสมอในตัวนำที่วางอยู่ในสนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลง"


1.9.50

คีย์บอร์ด


คีย์บอร์ด
เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น การวางตำแหน่งแป้นอักขระ จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้นยกแคร่ (shift) เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์ แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานพิมพ์ภาษาไทยจึงต้องมีการดัดแปลงแผงแป้นอักขระให้สามารถใช้งาน ได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย กลุ่มแป้นที่ใช้พิมพ์ตัวอักษรภาษาไทยจะเป็นกลุ่มแป้นเดียวกับภาษาอังกฤษ แต่จะใช้แป้นพิเศษแป้นหนึ่งทำหน้าที่สลับเปลี่ยนการพิมพ์ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษภายใต้การควบคุมของซอฟต์แวร์อีกชั้นหนึ่ง
แผงแป้นอักขระสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตระกูลไอบีเอ็มที่ผลิตออามารุ่นแรก ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 จะเป็นแป้นรวมทั้งหมด 83 แป้น ซึ่งเรียกว่า แผงแป้นอักขระพีซีเอ็กซ์ที ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 บริษัทไอบีเอ็มได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระ กำหนดสัญญาณทางไฟฟ้าของแป้นขึ้นใหม่ จัดตำแหน่งและขนาดแป้นให้เหมาะสมดียิ่งขึ้น โดยมีจำนวนแป้นรวม 84 แป้น เรียกว่า แผงแป้นอักขระพีซีเอที และในเวลาต่อมาก็ได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระขึ้นพร้อม ๆ กับการออกเครื่องรุ่น PS/2 โดยใช้สัญญาณทางไฟฟ้า เช่นเดียวกับแผงแป้นอักขระรุ่นเอทีเดิม และเพิ่มจำนวนแป้นอีก 17 แป้น รวมเป็น 101 แป้น
การเลือกซื้อแผงแป้นอักขระควรพิจารณารุ่นใหม่ที่เป็นมาตรฐานและสามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่
สำหรับเครื่องขนาดกระเป๋าหิ้วไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อปหรือโน้ตบุ๊ค ขนาดของแผงแป้นอักขระยังไม่มีการกำหนดมาตรฐาน เพราะผู้ผลิตต้องการพัฒนาให้เครื่องมีขนาดเล็กลงโดยลดจำนวนแป้นลง แล้วใช้แป้นหลายแป้นพร้อมกันเพื่อทำงานได้เหมือนแป้นเดียว