28.12.50

วันนี้ แต่ละห้องเลี้ยงฉลองปีใหม่กันอย่างสนุกมากๆๆ
โดยเฉพาะ 5/6 กินกันสุดยอด ( ขนมจีนแกงเขียวหวานอร่อยมากๆๆ )
และอิ่มมากๆๆ และต้องขอบคุณ อ.เกรียง ที่เลี้ยงเค้กพวกเรา 5/6
________00000__________00000___________ ______000000000______000000000_________ _____00000000000____00000000000________ ______000000000______000000000_________ ________00000__________00000___________ _______________________________________ ___000__________________________000____ ___0000________________________0000____ ____0000______________________0000_____ _____00000__________________00000______ ______000000______________000000_______ ________0000000________0000000_0_______ ___________0000000000000000____00______ ______________00000000000_______00_____ _______________________000_____000_____ ________________________000000000______ _________________________000000________

ก - เ ก็ บ เ ร า ไ ว้ ใ น ใ จ
ข - เ ข้ า ใ จ เ ร า
ค - ค อ ย เ ป็ น กำ ลั ง ใ จ ใ ห้ เ ร า
ง - ง้ อ เ ร า เ มื่ อ รู้ ตั ว ว่ า เ ข า ผิ ด
จ - จั บ มื อ เ ร า เ มื่ อ ต้ อ ง ก า ร กำ ลั ง ใ จ
ฉ - เ ฉ ย กั บ ค ว า ม ใ จ ร้ อ น ข อ ง เ ร า
ช - ช่ ว ย เ ห ลื อ เ ร า
ซ - ซื่ อ สั ต ย์ กั บ เ ร า ญ า ติ ดี กั บ เ ร า เ ส ม อ
ด - เ ดิ น เ คี ย ง ข้ า ง เ ร า
ต - ติ ด ต า ม ข่ า ว ค ร า ว ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง เ ร า
ถ - ไ ถ่ ถ า ม ทุ ก ข์ สุ ข
ท - ทำ ใ ห้ ชี วิ ต ข อ ง เ ร า เ ป ลี่ ย น ไ ป
ธ - ธั ม ม ะ ธั ม โ ม กั บ เ ร า
น - นั บ ถื อ เ ร า แ ล ะ น่ า รั ก ใ น ส า ย ต า ข อ ง เ ร า
บ - บ อ ก ค ว า ม จ ริ ง แ ก่ เ ร า
ป - ป ล อ บ ใ จ เ มื่ อ เ ร า ท้ อ
ผ - ผ า ย มื อ ต้ อ น รั บ เ ร า เ ส ม อ
ฝ - ฝ า ก ค ว า ม จ ริ ง ใ จ ไ ว้ กั บ เ ร า
พ - เ พิ่ ม พ ลั ง ใ ห้ แ ก่ เ ร า
ฟ - ฟั ง เ ร า เ ส ม อ
ภ - ภู มิ ใ จ ใ น ตั ว เ ร า
ม - ม อ บ สิ่ ง ดี ดี แ ก่ เ ร า
ย - ย ก โ ท ษ ใ ห้ กั บ ข้ อ ผิ ด พ ล า ด ข อ ง เ ร า
ร - รั ก ที่ เ ร า เ ป็ น เ ร า
ล - ล ะ เ อี ย ด อ่ อ น กั บ ค ว า ม รู้ สึ ก ข อ ง เ ร า
ว - ไ ว้ ใ จ เ ร า
ศ - ศึ ก ษ า นิ สั ย ที่ แ ท้ จ ริ ง ข อ ง เ ร า
ส - สั ง เ ก ต ค ว า ม เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ น ตั ว เ ร า
ห - เ ห็ น คุ ณ ค่ า ข อ ง เ ร า
อ - อ ธิ บ า ย ใ น สิ่ ง ที่ เ ร า ไ ม่ เ ข้ า ใ จ
ฮ - เ ฮ ฮ า กั บ เ ร า ไ ด้ ทุ ก เ ว ล า

21.12.50

จะสอบแล้ว

อาทิตย์ก้อหน้าจะสอบแย้ว
ยังเรียนฝรั่งเศสม่ายจบเลย
ว่า ! แย่จัง
ทำมัยมันช่างน่าเบื่อขนาดนี้

11.12.50

สงครามโลกครั้งที่ 1( World War I )

"The Great War" redirects here. For other uses, see The Great War (disambiguation).
World War I, also known as the First World War, the Great War and the War To End All Wars, was a global military conflict which took place primarily in Europe from 1914 to 1918. Over 40 million casualties resulted, including approximately 20 million military and civilian deaths.
The
Entente Powers, led by France, Russia, the British Empire, and later Italy (from 1915) and the United States (from 1917), defeated the Central Powers, led by the Austro-Hungarian, German, and Ottoman Empires. Russia withdrew from the war after the revolution in 1917.
The fighting that took place along the
Western Front occurred along a system of trenches, breastworks, and fortifications separated by an area known as no man's land. These fortifications stretched 475 miles (more than 600 kilometres) and defined the war for many. On the Eastern Front, the vast eastern plains and limited rail network prevented a trench warfare stalemate, though the scale of the conflict was just as large as on the Western Front. The Middle Eastern Front and the Italian Front also saw heavy fighting, while hostilities also occurred at sea, and for the first time, in the air.
The war caused the disintegration of four empires:
the Austro-Hungarian, German, Ottoman, and Russian. Germany lost its colonial empire, and states such as Czechoslovakia, Estonia, Finland, Latvia, Lithuania, Poland and Yugoslavia gained independence. The cost of waging the war set the stage for the breakup of the British Empire as well and left France devastated for more than a generation.
World War I marked the end of the world order which had existed after the
Napoleonic Wars, and was an important factor in the outbreak of World War II.

3.12.50

Suvarnabhumi Airport

Suvarnabhumi Airport (Thai: ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพ-สุวรรณภูมิ; Pronounced su-wan-na-poom),(IATA: BKK, ICAO: VTBS), also known as (New) Bangkok International Airport, is the international airport serving Bangkok, Thailand. After numerous delays and decades of planning, the airport opened for limited service on 15 September 2006, and opened for all commercial flights on 28 September.The airport is the main hub for Thai Airways International, Bangkok Airways, Orient Thai Airlines, PBair, Thai AirAsia and a focus city for Cathay Pacific, China Airlines, EVA Air, Air India, Druk Air, Indian Airlines, Singapore Airlines and SriLankan Airlines.
The airport is located in
Racha Thewa in Bang Phli district, Samut Prakan Province, about 25 km east of downtown Bangkok. The name Suvarnabhumi was chosen by King Bhumibol Adulyadej and refers to the ancient kingdom hypothesized to have been located somewhere in Southeast Asia. Designed by Helmut Jahn of Murphy/Jahn Architects, this airport has the world's tallest control tower (132.2 m), and the world's second largest single building and airport terminal (563,000 m²), somewhat smaller than Hong Kong International Airport (Chek Lap Kok Airport) (570,000 m²) and larger than South Korea's Incheon International Airport (496,000 m²). Suvarnabhumi is one of the busiest airports in Asia and Bangkok's primary airport for all commercial airline flights.The airport inherited the airport code BKK from Don Mueang after the older airport ceased commercial flights.
Months into its opening, issues such as congestion, construction quality, signage, provision of facilities, and soil subsidence continued to plague the airport, prompting calls to reopen Don Mueang to allow for repairs to be conducted. Expert opinions varied widely regarding the extent of Suvarnabhumi's problems as well as their root cause; most airlines stated that damage to the airport was minimal. Prime Minister
Surayud Chulanont decided on 16 February 2007 to reopen Don Mueang for domestic flights on a voluntary basis, with 71 weekly flights moved back initially, with no international flights allowed.
The airport has become a key economic strength for the nation, as a modern motorway connects the airport, Bangkok, and the heavily industrial
Eastern Seaboard of Thailand, where most of the export oriented manufacturing takes place. Despite little media attention paid to cargo, around the clock cargo shipments with excellent connections for exporters was a significant reason for its construction (as lobbying by Japanese exporters and Japanese government support were major facilitators), and the export led recovery of the Thai baht and the nation's strong current account surplus since its opening is further evidence of its massive effect.

2.12.50

เทควันโด




เทควันโด

(태권도, 태권도, , MC: Taegwondo, , MR: T'aekwŏndo ?) คือ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว ด้วยมือเปล่าของชาวเกาหลี คำว่า เท (태) แปลว่า มือ ควัน (권) แปลว่า เท้า โด (도) แปลว่า สติปัญญาหรือการมีสติ เทควันโด คือ ศิลปะการต่อสู้โดยการควบคุมการใช้มือและเท้าอย่างมีสติ
ศิลปะการป้องกันตัวของประเทศเกาหลี มีมาตั้งแต่ 2 พันกว่าปี ในปี ค.ศ.1955 องค์กรพิเศษได้ถูก จัดตั้งขึ้นในนามขององค์การควบคุมศิลปะแห่งชาติ ถูกตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่และควบคุมทำการสอนให้แก่สาธารณะชน องค์กรทางทหารซึ่งขึ้นอยู่กับเงินทุนกองกลางที่มีสามชิกขององค์กร เป็นผู้ที่มีความคิดความสามารถที่เชี่ยวชาญ กลุ่มสมาชิกได้รวมตัวกัน โดยมีนายพล Choi Hong Hi เป็นผู้ตั้งชื่อใหม่ขึ้นว่า เทควันโด (Taekwondo) จนกระทั่งทุกวันนี้ มีคนจำนวนมากกว่า 30 ล้านคนทั่วโลก จาก 140 เมืองที่ได้รับการ ฝึกฝนด้านเทควันโด
เทควันโดมักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ใช้แต่ขา แต่จริงๆ แล้วมีการใช้มือและขาและอวัยวะส่วนอื่นร่วมกัน แต่ยกเว้นการใช้ศอก

ลำดับสายของเทควันโด
เริ่ม สายขาว
10 สายเหลือง1 (สายส้ม-ในบางยิม)
9 สายเหลือง2
8 สายขียว1 (สีเขียวขี้ม้า-ในบางยิม)
7 สายเขียว2
6 สาวฟ้า1 (ม่วง-ในบางยิม )
5 สายฟ้า2 (น้ำเงิน-ในบางยิม)
4 สายน้ำตาล1
3 สายน้ำตาล2
2 สายแดง1
1 สายแดง2
ในบางยิมมีการเรียนสายแดง3เพื่อเตรียมสอบสายดำ
สายดำ ดั้ง1-10 (ลำดับสายที่ใช้ข้างต้นเป็นการกำหนดของ ประเทศไทย ซึ่งในแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน)

28.11.50

Haricot (ถั่ว)

Historique et description
Fruit d'une plante originaire d'Amérique centrale et d'Amérique du Sud. Le mot «haricot» désigne à la fois le fruit, la graine et la plante qui les produit. Il est dérivé de ayacotl, nom de ce légume en nahuatl, langue parlée par les Aztèques. Au Québec, on nomme souvent improprement cette légumineuse «fève», alors qu'au sens botanique, le terme «fève» ne s'applique qu'aux membres de la famille Vicia (voir Fève).
Il y a environ 7 000 ans, le haricot était cultivé par les tribus indiennes du Mexique ainsi qu'au Pérou. Graduellement, la culture s'est répandue à travers l'Amérique au fil des migrations des Indiens, de sorte que par la suite les explorateurs espagnols du XVe et du XVIe siècle retrouvèrent cette plante dans toute l'Amérique latine, et les colons anglais la retrouvèrent sur la côte est américaine au XVIIe siècle. Les haricots et leur culture se sont répandus en Afrique, en Asie et en Europe au début du XVIIe siècle grâce aux explorateurs espagnols et portugais. En Europe, cette plante fut d'abord cultivée pour ses grains; le haricot vert frais ne fut consommé qu'à partir de la fin du XIXe siècle en Italie. Aujourd'hui, les grands producteurs de haricots secs sont l'Inde, le Brésil, la Chine, les États-Unis, le Mexique et l'Indonésie.
Il existe plus de 100 espèces de haricots de forme, de couleur, de saveur et de valeur nutritive diverses. Les gousses de la plupart des variétés peuvent être consommées fraîches, avant leur maturité, comme les haricots beurre verts ou jaunes que l'on connaît bien de la variété Phaseolus vulgaris. À maturité, les gousses ne sont plus comestibles; on les écosse et les graines peuvent être utilisées fraîches ou séchées, et toujours cuites; ce sont celles que l'on nomme légumineuses. Le haricot frais provient généralement d'espèces naines cultivées dans toutes les régions du monde, notamment en Chine, en Turquie, en Espagne, en Italie, en France, en Égypte, aux États-Unis, en Roumanie et au Japon. Les gousses peuvent être vertes (parfois striées de pourpre ou de rouge) jaunes ou pourpres (ces dernières deviennent vertes en cuisant). Elles sont longues et étroites, droites ou légèrement recourbées. Certaines variétés sont exemptes de fils, comme dans le cas de la variété dite haricots mange-tout. Les gousses mesurent généralement de 8 à 20 cm de long et renferment de 4 à 12 graines de diverses couleurs; ces graines unies, tachetées ou rayées sont réniformes ou globulaires et mesurent de 7 mm à 1 cm de long.

Les haricots blancs comprennent de nombreuses variétés parmi lesquelles on trouve:
• le haricot blanc, en forme de rognon, assez gros et carré aux extrémités et le haricot blanc fin plus petit;
• le haricot Great Northern, de dimension moyenne, moins réniforme que le haricot blanc, plus rond et aux bouts arrondis;
• le haricot cannellini, variété fort prisée en Italie, est légèrement réniforme et carré aux extrémités;
• le petit haricot blanc, de la taille d'un pois et de forme ovale;
• le haricot canneberge, gros, rond et peu farineux, blanc crème, tacheté de rose ou de brun, est très populaire en Europe où on le nomme haricot coco (il est surtout utilisé dans les ragoûts et le cassoulet).
Tous ces haricots sont interchangeables dans la plupart des recettes; de saveur moins prononcée que les haricots rouges, ils acquièrent la saveur des préparations dans lesquelles ils cuisent.
Le haricot pinto est de taille moyenne, plutôt plat et réniforme, de couleur beige tacheté de brun clair; il doit son nom au fait qu'il est délicatement teinté (le terme pinto signifie «peint» en espagnol). Ces taches disparaissent toutefois à la cuisson, il prend alors une coloration rosée et acquiert une texture crémeuse. Il remplace avantageusement le haricot rouge et, comme ce dernier, ajoute une note colorée aux plats. Il est délicieux réduit en purée.
Le haricot romain est réniforme, de couleur brunâtre (certaines variétés sont beiges), plus ou moins moucheté, et ressemble au haricot pinto tout en étant souvent plus gros et plus foncé. Il est très estimé en Italie où on le nomme fagiolo romano. Cet excellent haricot devient uni à la cuisson; sa texture est douce et il absorbe la saveur des aliments avec lesquels il cuit. On peut l'utiliser à la place du haricot pinto ou du haricot rouge.
Le haricot rouge est l'un des plus connus; rouge et réniforme, de texture et de saveur douces, il est très utilisé dans les plats mijotés dont il absorbe les saveurs. Il entre dans la composition du chili con carne, un mets très nourrissant, et est souvent mis en conserve car il garde sa forme et sa texture; on l'utilise à la place des haricots romains ou des haricots pinto.
Le flageolet est vert pâle, mince, aplati et moins farineux que la plupart des autres légumineuses. Souvent nommé «fayot» en Europe, il est particulièrement estimé en France où il accompagne traditionnellement le gigot d'agneau. Le flageolet est surtout disponible séché ou en conserve.
Le haricot noir est légèrement réniforme et complètement noir; on le retrouve rarement hors des États-Unis, de l'Amérique centrale et du Mexique d'où il provient, et où il constitue depuis toujours un aliment de base de la cuisine de ces pays. On utilise abondamment le haricot noir dans la cuisine mexicaine, notamment pour les frijoles refritos, qui sont des haricots que l'on cuit plusieurs fois. Une présentation classique consiste à les servir avec les burritos et les enchiladas mexicains ou à les incorporer aux soupes et aux salades.

คำศัพท์
description (nf.) คำพรรณนา,ลักษณะ
plante (nf.) ต้นไม้ต้นหญ้า,พืช,พฤกษชาติ
graine (nf.) เมล็ด
gousse (nf.) ฝัก (ถั่ว),เปลือก
abondamment (nf.) อย่างฟุ่มเฟือย,อย่างอุดมสมบูรณ์
notamment (adv.) โดยเฉพาะ,โดยเฉพาะอย่างยิ่ง


24.11.50

Thé


Le thé est une boisson stimulante, obtenue par infusion des feuilles du théier, préalablement séchées et le plus souvent oxydées.
D'origine
chinoise, où il est connu depuis l'Antiquité, le thé est aujourd'hui la boisson la plus bue au monde après l'eau. La boisson elle-même peut prendre des formes très diverses : additionnée de lait et de sucre au Royaume-Uni, longuement bouillie avec des épices en Mongolie, préparée dans de minuscules théières dans la technique chinoise du gōngfū chá.
Par analogie, le mot désigne, dans certaines régions de la
francophonie ou certaines régions de France une infusion préparée à partir d'autres plantes (par ex. thé de tilleul) bien que l'on doive parler plus proprement de tisane. De même dans certains pays où le thé ne fait pas partie d'une culture ancienne (Allemands ou Italiens parlent ainsi de "Tee" et de "Tè" quelle que soit la plante utilisée) et où le café prédomine largement le secteur des boissons chaudes.

ไข่มุข กระบี่ หมู่เกาะพีพี

หาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลสีมรกตสดใสถูกโอบกอดไว้ด้วยขุนเขาและหน้าผาที่สูงชันพร้อมกับความสดชื่นของพรรณไม้นานาชนิดที่สะท้อนเป็นอัญมณีมรกตกลางท้องทะเลสีฟ้าคราม ความสวยงามที่ไม่มีวันหยุดนิ่งเป็นมนต์เสน่ห์น่าหลงใหล ในความฝันที่เป็นจริงของหมู่เกาะพีพี ที่ประกอบด้วย เกาะพีพีดอน พีพีเล เกาะบิดะนอก เกาะบิดะใน เกาะไผ่ และเกาะยุง ความงดงามของอ่าวมาหยาที่มีชื่อเสียงโดงดังไปทั่วโลก อ่าวนาง และอ่าวไร่เลย์ นักปีนผามืออาชีพต่างลงความเห็นว่าเป็นบริเวณที่ปีนหน้าผาได้ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกจุดหนึ่ง ถ้ำไวกิ้งมีภาพเขียนสียุคโบราณกว่า 70 ภาพให้ได้ชื่นชม สันทรายขาวสะอาดของทะเลแหวกที่มีความสวยงามในความมหัศจรรย์ รวมถึงหอยที่ทับถมกันจมเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติเพียง 3 แห่งของโลก ท้องฟ้าที่สดใส หาดทรายขาวน้ำทะเลสีครามเป็นเกาะสวรรค์ที่มีมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหลในความสวยงาม
การเดินทาง
จากท่าเจ้าฟ้าในเมืองกระบี่ มีเรือโดยสารขนาดใหญ่เดินทางไปเกาะพีพีทุกวัน
สถานที่ติดต่อ
ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยว จังหวัดกระบี่ โทร. 0-7562-2163

9.11.50

Don Hoi Lot

Don Hoi Lot
Don Hoi Lot It is a bar at the mouth of the Mae Klong River, created by sedimentation of sandy soil or Khee Ped Sand as called by the locals. It occupies a vast area 3 Kilometres wide and 5 Kilometres long. There are two places: Don Nok, located at the mouth of Mae Klong Gulf which can be accessed by boat. The second is Don Nai, located at Chu Chi villages beach, Tambon Bang Cha Kreng and at Bang Bo Villages' Beach, Tambon Bang Kaeo; which can be reached by car. This bar contains various species of mollusc such as Hoi Lai, Hoi Puk (Ridged Venus clam), Hoi Pak Ped, Hoi Khraeng (scallop), and most abundant is the of Hoi Lot (worm shells).
Worm Shells have 2 shells which resemble a straw and a muddy white meat. It lives in the muddy sand. Catching the worm shell is best done at low tide. The way to catch a worm shell is by using a little wooden stick dipped in lime and plaster mixture and sticking it into the worm shells hole. The worm shell will be agitated by the mixture and will come to the surface and caught. It is not advisable to dump the lime and plaster mixture onto the ground as will likely kill all kinds of molluscs living there. The best time of the year to catch the worm shells are during the months of March to May, when they are in season.
A very important site within the Chu Chi Village area at Don Hoi Lot is the Shrine of Prince Chumphon Khet-udomsak which is highly revered by all Thais. There are also restaurants and stalls selling a vast variety of local products such as fresh-dried worm shell, fresh-dried seafood, fish sauce, Khlong Khon shrimp paste, palm sugar, and palm juice, and many others.
HOW TO GET THERE
1. Travelling to Chu Chi Villages Beach at Tambon Bang Chakreng by-passing the access road to Samut Songkhram and going on for another 3 kilometres. Before you reach the Phutthaloetlanaphalai bridge, at the foot of the bridge, there is a 5 Kilometres access road to Don Hoi Lot.;
2. Travelling to Bang Bo Villages Beach at Tambon Bang Kaew. Starting from the opposite side of the road from the Highway Weighing Station on Thonburi-Paktho Roadside. Just one Kilometre before you reach the access road to Samut Songkhram, on your left, there will be a sign pointing to Don Hoi Lot. Take this road - a laterite road 4 Kilometres long to Don Hoi Lot. The road is not convenient for large vehicles;
3. By boat to Don Nok. There are many kinds of boat that will take you there, they are available at the Mae Klong river pier. For groups, please contact (Sun Huad Heng Wood Mill) at 711-466 or call the Boat Ticket Counter at Mae Klong River, Samut Songkhram in advance;
4. Taking a Song-Thaeo (local truck) from the market in Mueang Samut Songkram to Ban Chu Chi. The Song-Thaeo runs all day.
ดอนหอยหลอด
เป็นสันดอนตั้งอยู่ปากแม่น้ำแม่กลอง ที่เกิดจากการตกตะกอนของดินปนทราย หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า"ทรายขี้เป็ด" มีอาณาบริเวณกว้างประมาณ 3 กม. ยาว 5 กม. มีอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ ดอนนอก อยู่บริเวณปากอ่าวแม่กลอง เดินทางไปได้โดยทางเรือ และ ดอนใน อยู่ที่ชายหาดหมู่บ้านฉู่ฉี่ ตำบลบางจะเกร็ง และที่ ชายหาดหมู่บ้านบางบ่อ ตำบลบางแก้ว สามารถเดินทางไปได้โดยทางรถยนต์ บริเวณสันดอนนี้มีหอยอาศัยอยู่หลายชนิด ได้แก่ หอยลาย หอยปุก หอยปากเป็ด หอยแครง และโดยเฉพาะหอยหลอดมีมากที่สุด หอยหลอดเป็นหอยชนิด 2 ฝา ตัวสีขาวขุ่น มีเปลือกคล้ายหลอดกาแฟฝังตัวอยู่ในเลน การจับหอยหลอด จะจับในช่วงน้ำลง โดยใช้ไม้เล็ก ๆ ขนาดก้านธูป จุ่มปูนขาว แล้วแทงลงไปในรูหอยหลอด หอยจะเมาปูนแล้วโผล่ขึ้นมาให้จับ ไม่ควรสาดปูนขาวลงบนสันดอน เพราะจะทำให้หอยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นตายหมด ช่วงเวลาที่มีหอยหลอดมาก คือ ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ของทุกปี
นอกจากนั้นบริเวณดอนหอยหลอดที่หมู่บ้านฉู่ฉี่นี้เป็นที่ตั้งศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และมีร้านอาหาร ร้านขายสินค้าพื้นเมืองจำหน่ายอยู่หลายร้านเช่น หอยหลอดสด-แห้ง อาหารทะเลสด-แห้ง น้ำปลากะปิคลองโคน น้ำตาลปึก น้ำตาลสด ฯลฯ
การเดินทางไปดอนหอยหลอด
1. ไปยังหาดหมู่บ้านฉู่ฉี่ ตำบลบางจะเกร็งเลยทางแยกเข้าจังหวัดสมุทรสงครามไปประมาณ 3 กม. ก่อนที่จะข้ามสะพานพุทธเลิศหล้านภาลัย เชิงสะพานมีถนนเข้าดอนหอยหลอด ระยะทาง 5 กม.
2. ไปยังหาดหมู่บ้านบางบ่อ ตำบลบางแก้ว เริ่มต้นตรงข้ามด่านชั่งน้ำหนักทางหลวง ริมถนนธนบุรี-ปากท่อ ก่อนถึงทางแยกเข้าจังหวัดสมุทรสงคราม ประมาณ 1 กม. มีป้ายบอกทางเข้า เป็นถนนลูกรังระยะทาง 4 กม. รถใหญ่ไม่สะดวกที่จะนำเข้าไป
3. ทางเรือ ไปยังดอนนอก มีเรือขนาดต่าง ๆ บริการที่ท่าริมน้ำแม่กลอง ถ้าเป็นคณะใหญ่ติดต่อสอบถามล่วงหน้าที่ โรงเลื่อยจักรซุ่นฮวดเฮง โทร. 711466 หรือติดต่อที่ห้องขายตั๋วเรือข้ามฟากริมแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม
4. เดินทางโดยรถสองแถว จากตัวตลาดในเมืองสมุทรสงคราม ไป บ้านฉู่ฉี่ มีรถออกตลอดทั้งวัน

เพลงพระราชนิพนธ์



เพลงพระราชนิพนธ์


1. แสงเทียน (Saeng Tien)


2. Candlelight Blues


3. ยามเย็น (Yarm Yen)


4. Love at Sundown


5. สายฝน (Sai Fon)


6. Falling Rain


7. ใกล้รุ่ง (Klai Roong)


8. Near Dawn


9. ชะตาชีวิต (Chata Cheewit)


10. H.M. Blues


11. ดวงใจกับความรัก (Duang Jai Kap Kwarm Ruk)


12. Never Mind the Hungry Men's Blues


13. อาทิตย์อับแสง (Artit Up Saeng)


14. Blue Day


15. เทวาพาคู่ฝัน (Dewa Pa Ku Fun)


16. Dream of Love Dream of You


17. มหาจุฬาลงกรณ์ (Maha Chulalongkorn)


18. คำหวาน (Kam Warn)


19. Sweet Words


20. แก้วตาขวัญใจ (Kaew Ta Kwan Jai)


21. Lovelight in My Heart


22. พรปีใหม่ (Porn Pee Mai)


23. รักคืนเรือน (Ruk Kuen Ruen)


24. Love over Again


25. ยามค่ำ (Yarm Kam)


26. Twilight


27. ยิ้มสู้ (Yim Soo)


28. Smiles


29. มาร์ชธงไชยเฉลิมพล (Tong Chai Chalerm Pon)


30. เมื่อโสมส่อง (Muer Soam Song)


31. I Never Dream


32. ลมหนาว (Lom Naw)


33. Love in Spring


34. ศุกร์สัญลักษณ์ (Suk Sanyaluk)


35. Friday Night Rag

2.11.50

กลอนตลก

รักแรก คือแม่ข้า
รักรองมา คือแม่โขง
รักนั้นจะจบลง
ถ้าแม่โขง ขึ้นราคา

รักนะเด็กซื่อ
อย่าบื่อนะเด็กซ่า
เป็นห่วงนะเด็กบ้า
รักนะเด็กโง่

เรียนไปเรื่อยๆ
ถ้าเมื่อยเราก็โดด
ถ้าครูไม่โกรธเราก็โดดไปเรื่อยๆ

รักเธอเสมอ ถ้าไม่เจอคนใหม่
รักเธอตลอดไป ถ้าหาคนใหม่ไม่เจอ

…………………*………………... ?...…………**…………..? ..**……….*….*……..** ….*..*…..*…..*….*..* ……*…..*……….*.....* ……************………. ……..*..lovel…* …..*..lovelovelo…* …*..lovelovelove….* ..*.lovelovelovelove…*…………….*….* .*..lovelovelovelovelo…*………*..lovel….* *..lovelovelovelovelove…*….*…lovelovelo.* *.. lovelovelovelovelove…*….*…lovelovelo.* .*..lovelovelovelovelove…*..*…lovelovelo…* ..*…lovelovelovelovelove..*…lovelovelo…* …*….lovelovelolovelovelovelovelovelo…* …..*….lovelovelovelovelovelovelov…* ……..*….lovelovelovelovelovelo…* ………..*….lovelovelovelove…* ……………*…lovelovelo….* ………………*..lovelo…* …………………*…..* ………………….*..*

8.10.50

Basketball

สนามบาสเกตบอลแห่งแรก ที่วิทยาลัยสปริงฟิลด์

History
In early December 1891, Dr. James Naismith, a Canadian physical education student and instructor at YMCA Training School (today, Springfield College) in Springfield, Massachusetts, USA, sought a vigorous indoor game to keep his students occupied and at proper levels of fitness during the long New England winters. After rejecting other ideas as either too rough or poorly suited to walled-in gymnasiums, he wrote the basic rules and nailed a peach basket onto a 10-foot (3.05 m) elevated track. In contrast with modern basketball nets, this peach basket retained its bottom, so balls scored into the basket had to be poked out with a long dowel each time. A soccer ball was used to shoot goals. Whenever a person got the ball in the basket, they would give their team a point. Whichever team got the most points won the game.
Naismith's handwritten diaries, discovered by his granddaughter in early 2006, indicate that he was nervous about the new game he had invented, which incorporated rules from a Canadian children's game called "Duck on a Rock", as many had failed before it. Naismith called the new game 'Basket Ball'
The first official basketball game was played in the YMCA gymnasium on January 20, 1892 with nine players, on a court just half the size of a present-day National Basketball Association (NBA) court. "Basket ball", the name suggested by one of Naismith's students, was popular from the beginning.
Women's basketball began in 1892 at
Smith College when Senda Berenson, a physical education teacher, modified Naismith's rules for women.
Basketball's early adherents were dispatched to YMCAs throughout the United States, and it quickly spread through the USA and Canada. By 1895, it was well established at several women's high schools. While the YMCA was responsible for initially developing and spreading the game, within a decade it discouraged the new sport, as rough play and rowdy crowds began to detract from the YMCA's primary mission.
However, other amateur sports clubs, colleges, and professional clubs quickly filled the void. In the years before World War I, the
Amateur Athletic Union and the Intercollegiate Athletic Association of the United States (forerunner of the NCAA) vied for control over the rules for the game
Basketball was originally played with an
association football ball. The first balls made specifically for basketball were brown, and it was only in the late 1950s that Tony Hinkle, searching for a ball that would be more visible to players and spectators alike, introduced the orange ball that is now in common use.
Dribbling was not part of the original game except for the "bounce pass" to teammates. Passing the ball was the primary means of ball movement. Dribbling was eventually introduced but limited by the asymmetric shape of early balls. Dribbling only became a major part of the game around the 1950s as manufacturing improved the ball shape.
Basketball, netball, dodgeball, volleyball, and lacrosse are the only ball games which have been identified as being invented by North Americans. Other ball games, such as baseball and Canadian football, have Commonwealth of Nations, European, Asian or African connections.
Although there is no direct evidence as yet that the idea of basketball came from the ancient
Mesoamerican ballgame, knowledge of that game had been available for at least 50 years prior to Naismith's creation in the writings of John Lloyd Stephens and Alexander von Humboldt. Stephen's works especially, which included drawings by Frederick Catherwood, were available at most educational institutions in the 19th century and also had wide popular circulation.
ยุคแรกของบาสเกตบอล
ความพิเศษอย่างหนึ่งของบาสเกตบอล คือถูกคิดขึ้นโดยคนเพียงคนเดียว ต่างจากกีฬาส่วนใหญ่ที่วิวัฒนาการมาจากกีฬาอีกชนิด ช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2434 ดร. เจมส์ ไนสมิท นายแพทย์ชาวอเมริกันที่เกิดในแคนาดา และเป็นผู้ดูแลสถานที่ของวิทยาลัยแห่งหนึ่งของสมาคมวายเอ็มซีเอ (ปัจจุบันคือ วิทยาลัยสปริงฟิลด์, Springfield College) ในเมืองสปริงฟิลด์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ค้นหาเกมในร่มที่ช่วยให้คนมีกิจกรรมทำระหว่างฤดูหนาวในแถบนิวอิงแลนด์ ว่ากันว่า หลังจากเขาไตร่ตรองหากิจกรรมที่ไม่รุนแรงเกินไปและเหมาะสมกับโรงยิม เขาเขียนกฎพื้นฐานและตอกตะปูติดตะกร้าใส่ลูกท้อเข้ากับผนังโรงยิม เกมแรกที่เล่นเป็นทางการเล่นในโรงยิมวายเอ็มซีเอในเดือนถัดมา คือเมื่อ 20 มกราคม พ.ศ. 2434 (ค.ศ. 1892) ในสมัยนั้น เล่นโดยใช้ผู้เล่นเก้าคน สนามที่ใช้ก็มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของสนามเอ็นบีเอในปัจจุบัน ชื่อ บาสเกตบอล เป็นชื่อที่เสนอโดยนักเรียนคนหนึ่ง และก็เป็นชื่อที่นิยมมาตั้งแต่ตอนต้น เกมแพร่ขยายไปยังวายเอ็มซีเอที่อื่นทั่วสหรัฐอเมริกา ไม่นานนักก็มีเล่นกันทั่วประเทศแต่ที่น่าสนใจคือ ถึงแม้ว่าวายเอ็มซีเอจะเป็นผู้ที่พัฒนาและเผยแพร่เกมในตอนแรก ภายในหนึ่งทศวรรษสมาคมก็ไม่สนับสนุนกีฬานี้อีก เนื่องจากการเล่นที่รุนแรงและผู้ชมที่ไม่สุภาพ สมาคมกีฬาสมัครเล่นอื่น ๆ มหาวิทยาลัย และทีมอาชีพก็เข้ามาแทนที่ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 สหภาพการกีฬาสมัครเล่น (Amateur Athletic Union) และ สมาคมการแข่งขันกีฬาระหว่างวิทยาลัย (Intercollegiate Athletic Association) (ซึ่งปัจจุบันคือเอ็นซีดับเบิลเอ, NCAA) ได้แข่งกันเพื่อจะเป็นผู้กำหนดกติกาของเกม
เดิมนั้นการเล่นบาสเกตบอลจะลูกฟุตบอล ลูกบอลที่ทำขึ้นสำหรับบาสเกตบอลโดยเฉพาะในตอนแรกมีสีน้ำตาล ช่วงปลาย
คริสต์ทศวรรษ 1950 จึงเปลี่ยนมาใช้ลูกสีส้มเพื่อให้ผู้เล่นและผู้ชมมองเห็นลูกได้ง่ายขึ้น และก็ใช้ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่ริเริ่มใช้ลูกบาสเกตบอลสีส้มคือนาย โทนี ฮิงเคิล (Tony Hinkle) โค้ชมหาวิทยาลัยบัตเลอร์ (Butler University)


30.9.50

PHUTTHA MONTHON


PHUTTHA MONTHON

Le Bouddha et le jardin botanique sont situés à 16 kilomètres environ à l'ouest de Bangkok. Ce complexe sur plus de 5 000m² a été érigé pour commémorer l'illumination de Bouddha survenue il y a 2500 ans environ.Il est dominé par une statue en bronze de Bouddha marchant, de 18,5 mètres.C'est le plus haut Bouddha du monde.

29.9.50

สโนไวท์


สโนไวท์เป็นนิทานอมตะที่เด็กๆส่วนใหญ่ต้องรู้จักกันอยู่แล้ว ด้วยคำพูดของราชินีที่ว่า"กระจกวิเศษ จงบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพีนี้...."กระจกวิเศษก็จะตอบว่า"ก็ต้องเป็นเจ้าหญิงสโนไวท์น่ะสิ....."รวมถึงตัวการ์ตูนที่น่ารักนั่นก็คือ คนแคระทั้ง 7 ผู้ที่คอยช่วยเหลือสโนไวท์นั่นเอง

เนื้อเรื่องโดยรวมมีอยู่ว่า สโนไวท์เป็นองค์หญิงที่หน้าตางดงามมาก จนราชินีองค์ใหม่อิจฉา และสั่งให้นายพรานฆ่าเธอซะ แต่นายพรานสงสารจึงยอมปล่อยให้สโนว์ไวท์หนีไป สโนไวท์ไปเจอบ้านหลังหนึ่งและเข้าใจว่าไม่มีคนอยู่จึงอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น และเมื่อคนแคระทั้ง 7 กลับมาถึงบ้านเพราะความมีน้ำใจและความใจดีของสโนไวท์ทำให้พวกเขาให้สโนไวท์อยู่ด้วยสโนไวท์ตอบแทนคนแคระทั้ง 7 โดยการทำความสะอาดบ้านและทำอาหารให้ เมื่อราชินีรู้ว่าสโนวไวท์ยังไม่ตายเหมือนที่นายพรานบอกจากกระจกวิเศษของหล่อน จึงปลอมตัวมาฆ่าสโนไวท์หลายหนโดยปลอมเป็นหญิงชราเอาแอปเปิ้ลอาบยาพิษมาให้สโนไวท์กินขณะที่คนแคระทั้ง 7 ไม่อยู่บ้าน สโนไวท์เหมือนกับตายไปแล้วแต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือนเธอก็ยังคงงดงามเหมือนเดิมคนแคระทั้ง 7 โศกเศร้าเสียใจเป็นอันมากพวกเขานำเธอใส่ในโลงแก้วและรอคอยปาฏิหารย์ จนกระทั่งเจ้าชายองค์หนึ่งมาเห็นและหลงรักและหาทางช่วยเธอจนในที่สุดสโนไวท์ก็ฟื้นจากรอยจุมพิตของเจ้าชายและครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุข

24.9.50

8 วิธีจัดการกับอารมณ์เหนื่อยเพลีย

ในทางการแพทย์มองว่าอาการอ่อนเพลียของคนเราที่เกิดขึ้นเสมอๆนี้ ถือเป็นความผิดปกติของร่างกายที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา สาเหตุของความเหนื่อยอ่อนแบบนี้คงจะตอบได้ยากว่าเกิดจากอะไรกันแน่นเพราะแต่ละคนล้วนมีปัจจัยแวดล้อมแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วมักมีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยไม่สบาย การอดนอน ความเครียด คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย การทำงานมากเกินไป การรับประทานยาประจำตัว หรือไม่ก็อารมณ์ที่กำลังซึมเศร้าจากแรงกดดันรอบๆตัว ยิ่งอยู่ในสังคมเมืองใหญ่ที่เรามักจะใช้พลังงานกันเกินพิกัด เวลาควรนอนไม่นอน เวลาควรกินไม่กิน เพราะทำงานเกินเวลา หรือพวกที่นิยมการปาร์ตี้สังสรรค์ดึกดื่นข้ามคืนข้ามวัน พอตื่นขึ้นมาก็ลุกไม่ไหว เรียกว่าปาร์ตี้กันเกินเวลา พาให้การงานเสียก็มีอยู่ไม่น้อย พอได้สติขึ้นมาก็รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรเสียแล้ว
อาการเหนื่อยๆเพลียๆนี้อาจรักษาได้ด้วยยาบางอย่าง เช่น ยาระงับประสาท หรือยานอนหลับ กินให้คลายเครียดนอนหลับสนิท ตื่นมาจะได้มีเรี่ยวแรง แต่ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ก็อย่างที่พอรู้ๆกันอยู่ ถ้ากินติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีผลเสียต่อสุขภาพประสาทแน่ๆ ทางที่ดีคือการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตเสียใหม่น่าจะให้ผลที่ดีในระยะยาวกับตัวคุณมากกว่า ลองพิจารณา 8 วิธีที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ แล้วนำไปปฏิบัติตามดู คุณอาจจะหยุดความอ่อนเพลียละเหี่ยใจกลับมาเป็นคนใหม่ได้ในเวลาไม่ช้าครับ
1.ไปตรวจสุขภาพ ลองนึกๆดูว่าที่คุณรู้สึกเหนื่อยๆนั้น เป็นเพราะเกิดจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า ปวดเมื่อยเนื้อตัว งงๆลอยๆ จำอะไรไม่ค่อยได้หรือซึมเศร้า บางทีอาจมาจากโรคที่ทำให้ร่างกายผิดปกติ หรือบางครั้งยาที่เรากินเข้าไปก็มีผลทำให้ร่างกายเราอ่อนเพลียได้ เช่นยาที่มีผลต่อระดันฮอร์โมนในร่างกาย ยาแก้แพ้ หรือยารักษาอาการติดเชื้อบางประเภท ยารักษาโรคเรื้อรังบางอย่าง ยาระงับประสาทบางตัว อาจทำให้คนกินรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งคุณควรของคำปรึกษาเพิ่มเติมจากคุณหมอในเรื่องนี้ดูว่ามีวิธีไหนหลีกเลี่ยงได้บ้าง
2.ให้ความสำคัญกับการหลับเพิ่มขึ้น ในวันหนึ่งๆคุณควรนอนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หากคุณนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอเป็นประจำ ลองนึกดูว่าอะไรเป็นอุปสรรคต่อการนอนของคุณบ้าง เช่น ชอบเปิดไฟนอน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือก่อนนอนเป็นนิสัย การทำแบบนี้มักจะเป็นการรบกวนการนอนของคุณโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรยกกิจกรรมเหล่านี้ไปทำที่อื่น แล้วก่อนนอนควรทำอะไรที่จิตใจคุณสงบนิ่ง สบาย เช่น อาบน้ำให้สะอาด หรือทำสมาธิสวดมนต์ ไหว้พระ เป็นต้น แล้วเมื่อถึงเวลานอนให้ตรงเข้าไปในห้องนอนเพื่อเข้านอนเพียงอย่างเดียว อ้อ...ควรงดการดื่มกาแฟ หรือการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน
3.กินอาหารเพียงพอต่อธรรมชาติที่ร่างกายต้องการ นอกจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันในปริมาณที่สมดุลแล้ว ยังจำเป็นต้องกินอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่เพียงพอด้วย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมีกำลังวังชา ไม่กินมากไปจนทำให้ร่างกายอ้วนจนเดินไม่ไหว หรือกินน้อยไปจนกลายเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย เลือกกินให้พอดีๆ ทั้งข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ ก็จะช่วยให้คุณไม่ต้องไปเสียเงินค่าอาหารเสริมต่างๆทำให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
4.ดื่มน้ำเปล่ามากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้วขึ้นไป เราพอจะรู้อยู่ว่าการดื่มน้ำเปล่ามากๆ จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดี ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น แต่คุณอาจจะยังไม่ทราบว่าการดื่มน้ำก็ให้พลังงานกับร่างกายได้ด้วยเหมือนกัน เพราะเวลาที่ร่างกายไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ โดยธรรมชาติจะปรับตัวทำงานให้หนักขึ้น เพื่อจะได้น้ำมาในกระบวนการเผาผลาญอาหารให้กลายเป็นพลังงาน คล้ายๆกับรถที่ขาดน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้เวลาที่คุณต้องออกแรงหรือใช้ความคิดมากๆ จนรู้สึกหมดเรี่ยวแรง การได้ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำผักคั้นสดๆ สัก 1-2 แก้วจะช่วยให้คุณรู้สึกแช่มชื่นอย่างเห็นผล เพราะน้ำตาลธรรมชาติและวิตามินซีในน้ำผัก/ผลไม้ จะเข้าไปทดแทนส่วนที่ถูกใช้ไปได้เป็นอย่างดี และหากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนจะดีกว่า
5.กินอาหารแต่ละมื้อให้อิ่มพอดี หรือแบ่งอาหารออกเป็นแต่ละมื้อย่อยๆปริมาณน้อยแต่เพิ่มจำนวนมื้อ คุณลองสังเกตดูเวลาเรากินอาหารเข้าไปเยอะๆจนอิ่มแปล้นั้น มักจะตามด้วยอาการง่วงเหงาเงื่องหงอยในอีกนาทีต่อมาเสมอครับ นั่นเพราะร่างกายใช้พลังงานไปกับการย่อยอาหารจนหมด ดังนั้นการกินอาหารในแต่ละมื้อน้อยๆ จะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานแต่พอดีๆ แต่ยังช่วยให้ร่างกายคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย แถมจะช่วยให้การเผงผลาญอาหารทำได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
6.หายใจลึกๆ ใช้สมาธิจดจ่อกับลมหายใจเข้า-ออกติดต่อกับสักประมาณ 2 นาที จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจากอาการเหน็ดเหนื่อย วิตกกังวล เศร้าใจ เสียใจ หรือโกรธต่างๆได้มาก ซึ่งช่วยให้จิตใจคุณสงบ สบายขึ้น คุณอาจตั้งสติจดจ่อกับการหายใจแบบนี้ในเวลาที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆอยู่คนเดียว เช่น ตอนที่รถติดๆบนถนน ขณะเดินเล่น หรือแม้กระทั้งเวลาซักผ้า ล้างจาน จะช่วยให้จิตใจคุณมีสมาธิดีขึ้นด้วย
7.ออกกำลังกายให้มากขึ้น และทำอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้างสารเอ็นโดฟินส์ขึ้นมาในสมองโดยอัตโนมัติ ซึ่งสารนี้ให้ความรู้สึกเป็นสุข ช่วยคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียได้ชะงัด และยังช่วยให้กล้ามเนื้อใช้พลังงานที่เผาผลาญมาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ขนาดที่เหมาะคือการออกกำลังกายหนักปานกลางอย่างน้อยประมาณ 30 นาที อย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่นานๆจะมีโอกาสออกกำลังกายสักที ควรตั้งต้นเสียใหม่ยังไม่สายเกินไป ด้วยการเริ่มออกกำลังกายจากทีละน้อยๆช้าๆก่อน เช่น การเดินรอบๆบ้าน แล้วค่อยๆเพิ่มระยะทาง ความหนักทีละนิดๆ เช่น เปลี่ยนเป็นวิ่งระยะใกล้ๆ แล้วค่อยเพิ่มระยะทางขึ้น เลือกการออกกำลังกายแบบใดก็ได้ที่ไม่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเกินไปจนทนไม่ไหวเสียก่อน เมื่อคุณได้ใช้พลังงานไปกับการออกกำลังกายแล้ว จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิท ความรู้สึกนึกคิดก็จะแจ่มใสกว่าเดิม
8.อยู่กับปัจุบันให้ได้ มีคนกล่าวไว้ว่าหากแบ่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตเป็น 100 ส่วน ประมาณ 35 ส่วนจะถูกใช้ไปกับการคิดถึงอดีต 35 ส่วนจะใช้ไปกับการคิดถึงอนาคต ที่เหลือเพียง 30 ส่วนจึงจะใช้ไปในการคิดถึงปัจจุบัน ฟังแล้วเห็นภาพว่าทำไมเรารู้สึกเหนื่อยกับเรื่องบางเรื่องที่มันผ่านไปแล้วและเราไม่สามารถแก้ไขได้ หรือเหนื่อยกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเสียเหลือเกิน ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ การอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นได้ การจดจ่ออยู่กับปัจจุบันทำให้คุณมีสติอยู่ทุกขณะจิต มองโลก มองสิ่งที่เกิดขึ้นตามความจริงจะช่วยให้คุณตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้อย่างดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลังไม่ลนลาน ร้อนรน ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและคนรอบข้างได้
อ่านจนครบ 8 วิธีแล้ว หวังว่าใครที่มักรู้สึกเพลียใจอยู่จนเป็นกิจวัตรน่าจะปรับตัวให้ดีขึ้นนะครับ แถมท้ายอีกหน่อยด้วยวิธีแก้เครียด และกลัว ซึ่งมีที่มาเหตุการณ์ต่างๆที่คุณประสบพบเจอ ปัญหาชีวิต ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาชีวิต ความคิด ความทรงจำ หรือแม้ผิดหวังจากสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ ทั้งหมดนี้ล้วนก่อความเคียดให้คุณได้ไม่มากก็น้อย นำมาซึ้งอาการข้างเคียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปวดหัว ปวดคอ ปวดตึงที่กล้ามเนื้อไหล่ เหงื่อออกมาก ใจเต้นแรงเป็นต้น วิธีการคลายเคียดที่เราอยากแนะไว้ตรงนี้ โดยการ…..
· กินอาหารให้ถูกสัดส่วน พร้อมกับหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ อย่างที่พูดถึงไปแล้วข้างต้น
· อย่าเก็บปัญหาที่คุณกำลังเคียดอัดอั้นไว้กับตัว ลองทำใจปลดปล่อยมันออกมาด้วยการเล่าให้เพื่อนสนิทที่คุณไว้ใจสักคนฟัง ปรึกษากับเพื่อนถึงปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ การปลดปล่อยจะทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้น แล้วสติปัญญาแจ่มใสคิดแก้ไขสถานการณ์ก็จะเกิดตามมา ไม่เชื่อลองดู
· ผ่อนคลายจิตใจด้วยการหัวเราะเสียบ้าง การอยู่ท่ามกลางคนอารมณ์ดีจะช่วยคุณได้มากในเรื่องนี้ จะทำให้คุณคลายเคียดได้ชะงัด ความคิดจะกับมาแจ่มใส พร้อมหันหน้าสู้ปัญหาอย่างมีสติ
· ให้เวลากับกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่คุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ทำงานบ้านฯลฯ จะเป็นวิธีการผ่อนคลายความเครียดได้ดีอีกวิธีหนึ่ง ทั้งยังทำให้คุณมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือจากปัญหาเดิมๆเหล่านั้นด้วย เผลอๆจะช่วยคุณมีทางออกให้กับปัญหาแบบไม่รู้ตัว
· ที่สำคัญที่สุดอย่างที่กล่าวไปแล้วคือ การอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด

21.9.50

ประเทศเกาหลี (Korea)


Histoire


La première fondation d'un État en Corée remonte au IIIe millénaire av. J.-C. Depuis lors, ce pays a survécu tant bien que mal entre la Chine et le Japon sans toutefois perdre son identité. La Corée garde encore une culture riche qui a son caractère propre.
La division contemporaine de la Corée remonte aux suites de
l’occupation japonaise commencée à partir de 1905. À la fin de la Seconde Guerre mondiale en 1945, la Corée a été divisée en deux zones par les puissances mondiales, les États-Unis et l'URSS. En 1948, le Sud et le Nord se constituaient chacun en un État indépendant, un Nord communiste, et un Sud sous influence étatsunienne. En juin 1950, la guerre de Corée commençait. Le Sud était soutenu par les États-Unis, le Nord par la Chine. L'accord de cessez-le-feu de Panmunjeom (signé en 1953), a mis fin aux combats. Mais à ce jour, la guerre n'est toujours pas officiellement terminée. Depuis, la péninsule est divisée par une zone démilitarisée (DMZ) aux alentours du 38e parallèle, qui est paradoxalement, la plus militarisée du monde.
Après la guerre, la République de Corée, régime autoritaire sous le gouvernement autocratique de
Syngman Rhee puis sous la dictature de Park Chung-hee, a connu une croissance économique rapide. C’est dans les années 1980 que les manifestations ont mis fin à la dictature pour installer un pouvoir démocratique. Kim Dae-jung est le premier président bénéficiant d'une véritable légitimité démocratique.
La possibilité d'une réunification reste un sujet important de la vie politique péninsulaire : aucun traité de paix n'a été signé avec le Nord, mais le gouvernement sud-coréen a annoncé début 2006 son intention de signer un tel traité. La Corée du Sud maintient des efforts en vue d'améliorer la situation, malgré les menaces autour du programme nucléaire du Nord.
Voir l'article détaillé
réunification de la Corée.

15.9.50

Cendrillon


Histoire

Il était un brave homme qui vivait dans un pays lointain. Il avait une belle maison et une ravissante fille.Il lui donnait tout ce qu'il pouvait.
Alors pour lui faire plaisir, il épousa une veuve qui avait deux filles. Ainsi avec une nouvelle maman et deux soeurs sa fille aurait tout pour être heureuse.

Mais hélas, le brave homme mourut peu après. Tout changea pour la fillette. Sa belle-mère n'aimait que ses deux filles, Anastasia et Javotte, égoîstes, laides et méchantes.

Sa marâtre qui était fort méchante, lui confia des tâches les plus rudes, la faisait coucher au grenier et la malmenait sans cesse. Les filles de la méchante femme traitaient Cendrillon plus mal encore.
Cendrillon s'ennuyait, un jour le roi dit à son majordome, il est grand temps que le Prince mon fils se marie, nous allons organiser un bal aujourd'hui même. Ce soir-là, alors que la cruelle marâtre et ses filles s'apprêtaient à partir pour le bal, Cendrillon, meurtrie et désespérée, s'enfuit dans la cour et se mit à pleurer.

Soudain, Cendrillon entendit une voix. C'était sa marraine la Fée, qui lui dit: "Sèche tes larmes, tu iras au bal, je te le promets, n'oublies pas que j'ai un pouvoir magique. "

Et d'un coup de baguette, elle transforma une citrouille en un élégant carrosse, des souris en fiers chevaux, un chien en cocher et les petites grenouilles en valets de pieds.Mais Cendrillon était triste de se voir si mal vêtue. Un autre coup de baguette magique, et apparurent de magnifiques pantoufles de verre. Puis la fée changea la vieille robe de Cendrillon en une somptueuse robe de bal. Quand Cendrillon fut prête, la Fée lui donna un avertissement... Sois de retour ici à minuit sonnant....car après minuit tout redeviendra comme avant. Soyez sans crainte marraine, je m'en souviendrai. Et le carosse partit vers le château.

Sitôt que Cendrillon apparut au Palais du Roi, le Prince sut que c'était elle qu'il attendait. La musique commença et le Prince l'invita à danser. Ils dansèrent toute la soirée. Le coeur de Cendrillon chantait de joie.

Tout à coup, Cendrillon entendit l'horloge du clocher qui sonnait minuit. Oh! il faut que je m'en aille, dit-elle. Le Prince voulut l'empêcher de partir, mais Cendrillon était déjà sortie de la salle de bal et, sans s'apercevoir qu'elle perdait une de ses pantoufles, avait bondi dans son carosse, qui la ramena chez elle en toute hâte. Le dernier coup de minuit venait à peine de sonner que tout redevint comme avant.
Tout, sauf, l'autre pantoufle de vair qu'elle put conserver en souvenir de cette merveilleuse soirée. Au Palais Royal, un serviteur trouva la pantoufle perdue et l'apporta au Prince. son père le Roi avec l'approbation de la Reine donna ordre de faire essayer la pantoufle à toutes les filles du Royaume et demanda qu'on ramène au Palais Royal celle qui pourrait la chausser. Au hasard de ses recherches, le Prince arriva à la demeure de Cendrillon. Ses soeurs, Anastasia et Javotte, essayèrent la pantoufle mais leurs pieds étaient trop grands. Le Prince allait partir quand Cendrillon demanda de chausser la pantoufle de verre.Sa marraine la Fée apparut et d'un dernier coup de baguette transforma Cendrillon.

Le Prince, qui en était déjà amoureux, la demanda en mariage.Le Roi et la Reine était très heureux. Cendrillon et le Prince vécurent une longue vie de bonheur.